วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553


ขิง

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Zingiber officinale Roscoe

ชื่อสามัญ : Ginger

วงศ์ : Zingiberaceae

ชื่ออื่น : ขิงแกลง ขิงแดง (จันทบุรี) ขิงเผือก (เชียงใหม่) สะเอ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ล้มลุก มีเหง้าใต้ดิน สีน้ำตาลแกมเหลือง เนื้อในสีนวล มีกลิ่นเฉพาะ จะแทงหน่อหรือลำต้นเทียมขึ้นมาเหนือพื้นดิน ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปขอบขนาน แกมรูปใบหอก กว้าง 1.5-2 ซม. ยาว 15-20 ซม. ขอบใบเรียบ แผ่นใบสีเขียวเข้มเป็นมัน ดอก ออกเป็นช่อ แทงออกจากเหง้าใต้ดิน ใบประดับเรียงเวียนสลับสีเขียวอ่อน ดอกสีเหลืองแกมเขียว ผล เป็นผลแห้ง ทรงกลม ขนาดประมาณ 1 ซม. เป็น 3 พู เมล็ดหลายเมล็ด
ส่วนที่ใช้ : เหง้าแก่สด ต้น ใบ ดอก ผล


สรรพคุณ :

เหง้าแก่สด
- ยาแก้อาเจียน
- ยาขมเจริญอาหาร
- ยาแก้ท้องขึ้น ท้องอืดเฟ้อ ขับลม
- แก้ไอ ขับเสมหะ บำรุงธาตุ
- สามารถต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ลดอาการจุกเสียดได้ดี
- มีฤทธิ์ในการขับน้ำดี เพื่อย่อยอาหาร
- แก้ปากคอเปื่อย แก้ท้องผูก
- ลดความดันโลหิต

ต้น - ขับผายลม แก้จุกเสียดแน่นเฟ้อ แก้นิ่ว บำรุงไฟธาตุ แก้คอเปื่อย ช่วยย่อยอาหาร ฆ่าพยาธิ แก้โรคตา แก้บิด แก้ลมป่วง แก้ท้องร่วงอย่างแรง แก้อาเจียน

ใบ - แก้โรคกำเดา ขับผายลม แก้นิ่วแก้เบาขัด แก้คอเปื่อย บำรุงไฟธาตุ ช่วยย่อยอาหาร ฆ่าพยาธิ แก้โรคตา ขับลมในลำไส้

ดอก - ทำให้ชุ่มชื่น แก้โรคตาแฉะ ฆ่าพยาธิ ช่วยย่อยอาหาร แก้คอเปื่อย บำรุงไฟธาตุ แก้นิ่ว แก้เบาขัด แก้บิด

ผล - แก้ไข้

วิธีและปริมาณที่ใช้ :

ยาแก้อาเจียน
ใช้ขิงแก่สด หรือแห้ง ขิงสดขนาดหัวแม่มือ (ประมาณ 5 กรัม) ทุบให้แตก ถ้าแห้ง 5-7 ชิ้น ต้มกับน้ำดื่ม
นำขิงสด 3 หัว หัวโตยาวประมาณ 5 นิ้ว ใส่น้ำ 1 แก้ว ต้มจนเหลือ 1/2 แก้ว (ประมาณ 15-20 นาที หลังจากเดือดแล้ว) รินเอาน้ำดื่ม

ยาขมเจริญอาหาร
ใช้เหง้าสดประมาณ 1 องคุลี ถ้าผงแห้งใช้ 1/2 ช้อนโต๊ะ หรือประมาณ 0.6 กรัม
ผงแห้งชงกับน้ำดื่ม เหง้าสดต้มน้ำ หรือปรุงอาหาร เช่น ผัด หรือรับประทานสดๆ เช่น กับลาบ แหนม และอื่นๆ

แก้อาการท้องอืดเฟ้อ จุกเสียดและปวดท้อง
- น้ำกระสายขิง น้ำขิง 30 กรัม มาชงด้วยน้ำเดือด 500 ซีซี ชงแช่ไว้นาน 1 ชั่วโมง กรองรับประทานครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ
- ใช้ขิงแก่ต้มกับน้ำ รินน้ำดื่มแก้โรคจุกเสียด ทำให้หลับสบาย
- ขิงแก่ยาว 2 นิ้ว ทุบพอแหลก เทน้ำเดือดลงไปครึ่งแก้ว ปิดฝา ตั้งทิ้งไว้นาน 5 นาที รินเอาแต่น้ำมาดื่มระหว่างอาหารแต่ละมื้อ
- ใช้ผงขิงแห้ง 1 ช้อนโต๊ะปาดๆ หรือ 0.6 กรัม ถ้าขิงแก่สดยาวประมาณ 1 องคุลี หรือประมาณ 5 กรัม ต้มกับน้ำ เติมน้ำตาลดื่มทุกๆ วัน ถ้าเป็นผงขิงแห้งให้ชงน้ำร้อน เติมน้ำตาลดื่ม

แก้ไอและขับเสมหะ
ใช้ขิงสดฝนกับน้ำมะนาว แทรกเกลือ ใช้กวาดคอหรือจิบบ่อยๆ

ลดความดันโลหิต
ใช้ขิงสดเอามาฝานต้มกับน้ำรับประทาน


อุปกรณ์กีฬา














































อาหารไทย











วันเสาร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

วันวิสาขบูชา

ความหมายของ วันวิสาขบูชา คำว่า วิสาขบูชา ย่อมาจากคำว่า "วิสาขปุรณมีบูชา" แปลว่า "การบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ" ดังนั้น วิสาขบูชา จึงหมายถึง การบูชาในวันเพ็ญเดือน 6 การกำหนด วันวิสาขบูชา วันวิสาขบูชา ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ตามปฏิทินจันทรคติของไทย ซึ่งมักจะตรงกับเดือนพฤษภาคม หรือมิถุนายน แต่ถ้าปีใดมีอธิกมาส คือ มีเดือน 8 สองหน ก็เลื่อนไปเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ กลางเดือน 7 หรือราวเดือนมิถุนายน อย่างไรก็ตาม ในบางปีของบางประเทศอาจกำหนด วันวิสาขบูชา ไม่ตรงกับของไทย เนื่องด้วยประเทศเหล่านั้นอยู่ในตำแหน่งที่ต่างไปจากประเทศไทย ทำให้วันเวลาคลาดเคลื่อนไปตามเวลาของประเทศนั้นๆประวัติวันวิสาขบูชา และความสำคัญของ วันวิสาขบูชา
วันวิสาขบูชา ถือเป็นวันสำคัญยิ่งทางพระพุทธศาสนา เพราะเป็นวันที่เกิด 3 เหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวกับวิถีชีวิตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวียนมาบรรจบกันในวันเพ็ญเดือน 6 แม้จะมีช่วงระยะเวลาห่างกันนับเวลาหลายสิบปี ซึ่งเหตุการณ์อัศจรรย์ 3 ประการ ได้แก่1. วันวิสาขบูชา เป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ เมื่อพระนางสิริมหามายา พระมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะ แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ ทรงพระครรภ์แก่จวนจะประสูติ พระนางแปรพระราชฐานไปประทับ ณ กรุงเทวทหะ เพื่อประสูติในตระกูลของพระนางตามประเพณีนิยมในสมัยนั้น ขณะเสด็จแวะพักผ่อนพระอิริยาบถใต้ต้นสาละ ณ สวนลุมพินีวัน พระนางก็ได้ประสูติพระโอรส ณ ใต้ต้นสาละนั้น ซึ่งตรงกับวันเพ็ญเดือน 6 ก่อนพุทธศักราช 80 ปี ครั้นพระกุมารประสูติได้ 5 วัน ก็ได้รับการถวายพระนามว่า "สิทธัตถะ" แปลว่า "สมปรารถนา" เมื่อข่าวการประสูติแพร่ไปถึงอสิตดาบส 4 ผู้อาศัยอยู่ในอาศรมเชิงเขาหิมาลัย และมีความคุ้นเคยกับพระเจ้าสุทโธทนะ ดาบสจึงเดินทางไปเข้าเฝ้า และเมื่อเห็นพระราชกุมารก็ทำนายได้ทันทีว่า นี่คือผู้จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงกล่าวพยากรณ์ว่า "พระราชกุมารนี้จักบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ เห็นแจ้งพระนิพพานอันบริสุทธ์อย่างยิ่ง ทรงหวังประโยชน์แก่ชนเป็นอันมาก จะประกาศธรรมจักรพรหมจรรย์ของพระกุมารนี้จักแพร่หลาย" แล้วกราบลงแทบพระบาทของพระกุมาร พระเจ้าสุทโธทนะทอดพระเนตรเห็นเหตุการณ์นั้นทรงรู้สึกอัศจรรย์และเปี่ยมล้นด้วยปีติ ถึงกับทรุดพระองค์ลงอภิวาทพระราชกุมารตามอย่างดาบส2. วันวิสาขบูชา เป็นวันที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้อนุตตรสัมโพธิญาณ หลังจากออกผนวชได้ 6 ปี จนเมื่อพระชนมายุ 35 พรรษา เจ้าชายสิทธัตถะก็ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ณ ใต้ร่มไม้ศรีมหาโพธิ์ ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ในตอนเช้ามืดของวันพุธ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีระกา ก่อนพุทธศักราช 45 ปี ปัจจุบันสถานที่ตรัสรู้แห่งนี้เรียกว่า พุทธคยา เป็นตำบลหนึ่งของเมืองคยา แห่งรัฐพิหารของอินเดีย สิ่งที่ตรัสรู้ คือ อริยสัจสี่ เป็นความจริงอันประเสริฐ 4 ประการของพระพุทธเจ้า ซึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จไปที่ต้นมหาโพธิ์ และทรงเจริญสมาธิภาวนาจนจิตเป็นสมาธิได้ฌานที่ 4 แล้วบำเพ็ญภาวนาต่อไปจนได้ฌาน 3 คือ
วันวิสาขบูชา ยามต้น : ทรงบรรลุ "ปุพเพนิวาสานุติญาณ " คือ ทรงระลึกชาติในอดีตทั้งของตนเองและผู้อื่นได้ ยามสอง : ทรงบรรลุ "จุตูปปาตญาณ" คือ การรู้แจ้งการเกิดและดับของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ด้วยการมีตาทิพย์สามารถเห็นการจุติและอุบัติของวิญญาณทั้งหลาย ยามสาม หรือยามสุดท้าย : ทรงบรรลุ "อาสวักขญาณ" คือ รู้วิธีกำจัดกิเลสด้วย อริยสัจ 4 (ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในคืนวันเพ็ญเดือน 6 ซึ่งขณะนั้นพระพุทธองค์มีพระชนมายุได้ 35 พรรษา3. วันวิสาขบูชา เป็นวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่ปรินิพพาน (ดับสังขารไม่กลับมาเกิดสร้างชาติ สร้างภพอีกต่อไป) เมื่อพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้และแสดงธรรมเป็นเวลานานถึง 45 ปี จนมีพระชนมายุได้ 80 พรรษา ได้ประทับจำพรรษา ณ เวฬุคาม ใกล้เมืองเวสาลี แคว้นวัชชี ในระหว่างนั้นทรงประชวรอย่างหนัก ครั้นเมื่อถึงวันเพ็ญเดือน 6 พระพุทธองค์กับพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย ก็ไปรับภัตตาหารบิณฑบาตที่บ้านนายจุนทะ ตามคำกราบทูลนิมนต์ พระองค์เสวยสุกรมัททวะที่นายจุนทะตั้งใจทำถวายก็เกิดอาพาธลง แต่ทรงอดกลั้นมุ่งเสด็จไปยังเมืองกุสินารา ประทับ ณ ป่าสาละ เพื่อเสด็จดับขันธุ์ปรินิพพาน เมื่อถึงยามสุดท้ายของคืนนั้น พระพุทธองค์ก็ทรงประทานปัจฉิมโอวาทว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลายอันว่าสังขารทั้งหลายย่อมมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงอันเป็นประโยชน์ของตนและประโยชน์ของผู้อื่นให้ บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด" หลังจากนั้นก็เสด็จเข้าดับขันธุ์ปรินิพพาน ในราตรีเพ็ญเดือน 6 นั้น

ประวัติความเป็นมาของ วันวิสาขบูชา ในประเทศไทย ปรากฎหลักฐานว่า วันวิสาขบูชา เริ่มต้นครั้งแรกในประเทศไทยตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี สันนิษฐานว่าได้รับแบบแผนมาจากลังกา นั่นคือ เมื่อประมาณ พ.ศ.420 พระเจ้าภาติกุราช กษัตริย์แห่งกรุงลังกา ได้ประกอบพิธีวิสาขบูชาขึ้น เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา จากนั้นกษัตริย์ลังกา พระองค์อื่นๆ ก็ปฏิบัติประเพณีวิสาขบูชานี้สืบทอดต่อกันมา ส่วนการเผยแผ่เข้ามาในประเทศไทยนั้น น่าจะเป็นเพราะประเทศไทยในสมัยกรุงสุโขทัยมีความสัมพันธ์ด้านพระพุทธศาสนากับประเทศลังกาอย่างใกล้ชิด เห็นได้จากมีพระสงฆ์จากลังกาหลายรูปเดินทางเข้ามาเผยแพร่พระพุทธศาสนา และนำการประกอบพิธีวิสาขบูชาเข้ามาปฏิบัติในประเทศไทยด้วย สำหรับการปฏิบัติพิธีวิสาขบูชาในสมัยสุโขทัยนั้น ได้มีการบันทึกไว้ในหนังสือนางนพมาศ สรุปได้ว่า เมื่อถึงวันวิสาขบูชา พระเจ้าแผ่นดิน ข้าราชบริพาร ทั้งฝ่ายหน้า และฝ่ายใน ตลอดทั้งประชาชนชาวสุโขทัย จะช่วยกันประดับตกแต่งพระนคร ด้วยดอกไม้ พร้อมกับจุดประทีปโคมไฟให้ดูสว่างไสวไปทั่วพระนคร เป็นเวลา 3 วัน 3 คืน เพื่อเป็นการบูชาพระรัตนตรัย ขณะที่พระมหากษัตริย์ และบรมวงศานุวงศ์ ก็ทรงศีล และทรงบำเพ็ญพระราชกุศลต่างๆ ครั้นตกเวลาเย็นก็เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ และนางสนองพระโอษฐ์ตลอดจนข้าราชการทั้งฝ่ายหน้า และฝ่ายในไปยังพระอารามหลวง เพื่อทรงเวียนเทียนรอบพระประธาน
ส่วนชาวสุโขทัยจะรักษาศีล ฟังธรรม ถวายสลากภัต สังฆทาน อาหารบิณฑบาตแด่พระภิกษุสามเณร บริจาคทานแก่คนยากจน ทำบุญไถ่ชีวิตสัตว์ ฯลฯ หลังจากสมัยสุโขทัย ประเทศไทยได้รับอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์มากขึ้น ทำให้ในช่วงสมัยกรุงศรีอยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์ตอนต้น ไม่ปรากฎหลักฐานว่ามีการประกอบพิธีวิสาขบูชา จนกระทั่งมาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (พ.ศ.2360) ทรงมีพระราชดำริที่จะให้ฟื้นฟูพิธีวิสาขบูชาขึ้นมาใหม่ โดยสมเด็จพระสังฆราช (มี) สำนักวัดราชบูรณะ ถวายพระพรให้ทรงทำขึ้น เป็นครั้งแรก ในวันขึ้น 14 ค่ำ 15 ค่ำ และวันแรม 1 ค่ำ เดือน 6 พ.ศ.2360 และให้จัดทำตามแบบอย่างประเพณีเดิมทุกประการ เพื่อให้ประชาชนได้ทำบุญ ทำกุศล โดยทั่วหน้ากัน การรื้อฟื้นพิธีวิสาขบูชาขึ้นมาในครานี้ จึงถือเป็นแบบอย่างถือปฏิบัติในการประกอบพิธี วันวิสาขบูชา ต่อเนื่องมาจวบจนกระทั่งปัจจุบัน วันวิสาขบูชา เป็นวันสำคัญสากลของสหประชาชาติ วันวิสาขบูชา ถือเป็นวันสำคัญที่สุดทางพระพุทธศาสนา เนื่องจากล้วนมีเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการถือกำเนิดของพระพุทธศาสนา คือ เป็นวันที่พระศาสดา คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ดังนั้นพุทธศาสนิกชนทั่วโลกจึงให้ความสำคัญกับวันวิสาขบูชานี้ และในวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ.2542 องค์การสหประชาชาติได้ยอมรับญัตติที่ประชุม กำหนดให้วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญของโลก โดยเรียกว่า Vesak Day ตามคำเรียกของชาวศรีลังกา ผู้ที่ยื่นเรื่องให้สหประชาชาติพิจารณา และได้กำหนดวันวิสาขบูชานี้ถือเป็นวันหยุดวันหนึ่งของสหประชาชาติอีกด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อให้ชาวพุทธทั่วโลกได้มีโอกาสบำเพ็ญบุญเนื่องในวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระบรมศาสดา โดยการที่สหประชาชาติได้กำหนดให้วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญของโลกนั้น ได้ให้เหตุผลไว้ว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นมหาบุรุษผู้ให้ความเมตตาต่อหมู่มวลมนุษย์ เปิดโอกาสให้ทุกศาสนาสามารถเข้ามาศึกษาพุทธศาสนา เพื่อพิสูจน์หาข้อเท็จจริงได้โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ และทรงสั่งสอนทุกคนโดยใช้ปัญญาธิคุณ โดยไม่คิดค่าตอบแทน การประกอบพิธีใน วันวิสาขบูชา การประกอบพิธีใน วันวิสาขบูชา จะแบ่งออกเป็น 3 พิธี ได้แก่ 1. พิธีหลวง คือ พระราชพิธีสำหรับพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ ประกอบในวันวิสาขบูชา 2. พิธีราษฎร์ คือ พิธีของประชาชนทั่วไป 3. พิธีของพระสงฆ์ คือ พิธีที่พระสงฆ์ประกอบศาสนกิจ กิจกรรมใน วันวิสาขบูชากิจกรรมที่พุทธศาสนิกชนพึงปฏิบัติใน วันวิสาขบูชา ได้แก่ 1. ทำบุญใส่บาตร กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้ญาติที่ล่วงลับ และเจ้ากรรมนายเวร 2. จัดสำรับคาวหวานไปทำบุญถวายภัตตาหารที่วัด และปฏิบัติธรรม ฟังพระธรรมเทศนา 3. ปล่อยนกปล่อยปลา เพื่อสร้างบุญสร้างกุศล 4. ร่วมเวียนเทียนรอบอุโบสถที่วัดในตอนค่ำ เพื่อรำลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ 5. ร่วมกิจกรรมเกี่ยวกับวันสำคัญทางพุทธศาสนา 6. จัดแสดงนิทรรศการ ประวัติ หรือเรื่องราวความเป็นมาเกี่ยวกับวันวิสาขบูชาตามโรงเรียน หรือสถานที่ราชการต่างๆ เพื่อให้ความรู้ และเป็นการร่วมรำลึกถึงความสำคัญของวันวิสาขบูชา 7. ประดับธงชาติตามอาคารบ้านเรือน วัดและสถานที่ราชการ 8. บำเพ็ญสาธารณประโยชน์ หลักธรรมที่สำคัญใน วันวิสาขบูชา ที่ควรนำมาปฏิบัติ ใน วันวิสาขบูชา พุทธศาสนิกชนทั้งหลายควรยึดมั่นในหลักธรรม ซึ่งหลักธรรมที่ควรนำมาปฏิบัติในวันวิสาขบูชา ได้แก่ 1. ความกตัญญู คือ การรู้คุณคน เป็นคุณธรรมที่คู่กับความกตเวที ซึ่งหมายถึงการตอบแทนคุณที่มีผู้ทำไว้ ความกตัญญูและความกตเวทีนี้ เป็นเครื่องหมายของคนดี ทำให้ครอบครัวและสังคมมีความสุข ซึ่งความกตัญญูกตเวทีนั้นสามารถเกิดขึ้นได้กับทั้ง บิดามารดาและลูก ครูอาจารย์กับศิษย์ นายจ้างกับลูกจ้าง ฯลฯ ในพระพุทธศาสนา เปรียบพระพุทธเจ้าเสมือนกับบุพการี ผู้ชี้ให้เห็นทางหลุดพ้นแห่งความทุกข์ ดังนั้นพุทธศาสนิกชนจึงควรตอบแทนด้วยความกตัญญูกตเวทีด้วยการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และดำรงพระพุทธศาสนาให้อยู่สืบไป2. อริยสัจ 4 คือ ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ใน วันวิสาขบูชา ได้แก่ ทุกข์ คือ ปัญหาของชีวิต สภาวะที่ทนได้ยาก ซึ่งทุกข์ขั้นพื้นฐาน คือ การเกิด การแก่ และการตาย ล้วนเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องเผชิญ ส่วนทุกข์จร คือ ทุกข์ที่เกิดขึ้นในการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น การพลัดพลาดจากสิ่งที่เป็นที่รัก หรือ ความยากจน เป็นต้น สมุทัย คือ ต้นเหตุของปัญหา หรือสาเหตุของการเกิดทุกข์ และสาเหตุส่วนใหญ่ของปัญหาเกิดจาก "ตัณหา" อันได้แก่ ความอยากได้ต่างๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด นิโรธ คือ ความดับทุกข์ เป็นสภาพที่ความทุกข์หมดไป เพราะสามารถดับกิเลส ตัณหา อุปาทานออกไปได้ มรรค คือ หนทางที่นำไปสู่การดับทุกข์ เป็นการปฎิบัติเพื่อแก้ปัญหา มี 8 ประการ ได้แก่ ความเห็นชอบ ดำริชอบ วาจาชอบ กระทำชอบ เลี้ยงชีพชอบ พยายามชอบ ระลึกชอบ ตั้งจิตมั่นชอบ3. ความไม่ประมาท คือการมีสติตลอดเวลา ไม่ว่าจะทำอะไร พูดอะไร คิดอะไร ล้วนต้องใช้สติ เพราะสติคือการระลึกได้ การระลึกได้อยู่เสมอจะทำให้เราใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท ซึ่งความประมาทนั้นจะทำให้เกิดปัญหายุ่งยากตามมา ดังนั้นในวันนี้พุทธศาสนิกชนจะพากันน้อมระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ด้วยความมีสติ วันวิสาขบูชา นับว่าเป็นวันที่มีความสำคัญสำหรับพุทธศาสนิกชนทุกคน เป็นวันที่มีการทำพิธีพุทธบูชา เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระวิสุทธิคุณ พระปัญญาคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีต่อมวลมนุษย์และสรรพสัตว์ อีกทั้งเพื่อเป็นการรำลึกถึงเหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์ทั้ง 3 ประการ ที่มาบังเกิดในวันเดียวกัน และนำหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์มาเป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติในการดำรงชีวิตค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2553

คำคม

พุทธศาสนสุภาษิต : พระราชา

ราชา รฏฺฐสฺส ปญฺญาณํ
พระราชาเป็นเครื่องปรากฏของแว่นแคว้น
ราชา มุขํ นุสฺสสานํ
พระราชาเป็นประมุขของประชาชน
สพฺพํ รฏฺฐํ สุขํ โหตุ ราชา เจ โหติ ธมฺมิโก
ถ้าพระราชาเป็นผู้ทรงธรรม ราษฎรทั้งปวงก็เป็นสุข
กุทฺธํ อปฺปฏิกุชฺฌนฺโต ราชา รฏฺฐสฺส ปูชิโต
พระราชาผู้ไม่กริ้วตอบผู้โกรธ ราษฎรก็บูชา
สนฺนทฺโธ ขตฺติโย ตปติ
พระมหากษัตริย์ทรงเครื่องรบย่อมสง่า
ขตฺติโย เสฏฺโฐ ชเนตสฺมิง เย โคตฺตปฏิสาริโน
พระมหากษัตริย์เป็นผู้ประเสริฐสุดในหมู่ชนผู้รังเกียจด้วยสกุล
พุทธศาสนสุภาษิต : สิ่งที่เป็นการยาก

กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ
ความได้เป็นมนุษย์เป็นการยาก
กิจฺฉํ มจฺจาน ชีวิตํ
ความเป็นอยู่ของสัตว์เป็นการยาก
กิจฺฉํ สทฺธมฺมสฺสวนํ
การฟังธรรมของสัตบุรุษเป็นการยาก
กิจฺโฉ พุทฺธานมุปฺปาโท
ความเกิดขึ้นแห่งท่านผู้รู้เป็นการยาก
ทุลฺลภํ ทสฺสนํ โหติ สมฺพุทฺธานํ อภิณฺหโส
การเห็นพระพุทธเจ้าเนืองๆ เป็นการหาได้ยาก

พุทธศาสนสุภาษิต : ทรัพย์และอนิจจัง


น จาปิ วิตฺเตน ชรํ วิหนฺติ
กำจัดความแก่ด้วยทรัพย์ไม่ได้
น ทีฆมายุง ลภเต ธเนน
คนไม่ได้อายุยืนเพราะทรัพย์
สพฺเพ ว นิกฺขิปิสฺสนฺติ ภูตา โลเก สมุสฺสยํ
สัตว์ทั้งปวง จักทอดทิ้งร่างไว้ในโลก
อฑฺฒา เจว ทฬิทฺทา จ สพฺเพ มจฺจุปรายนา
ทั้งคนมีทั้งคนจน ล้วนมีความตายเป็นเบื้องหน้า
อปฺปกญฺจิทํ ชีวตมาหุธีรา
ปราชญ์กล่าวว่าชีวิตนี้น้อยนัก
น หิ โน สงฺครนฺเตน มหาเสเนน มจฺจุนา
ความผัดเพื่อนกับมฤตยู อันมีกองทัพใหญ่นั้น ไม่ได้เลย
ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ
สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา
ภิยฺโย จ กาเม อภิปตฺถยนฺติ
ผู้บริโภคกาม ย่อมปรารถนากามยิ่งขึ้นไป
ชรูปนีตสฺส น สนฺติ ตาณา
เมื่อสัตว์ถูกชรานำเข้าไปแล้ว ไม่มีผู้ป้องกัน
น มิยฺยมานสฺส ภวนฺติ ตาณา
เมื่อสัตว์จะตาย ไม่มีผู้ป้องกัน
น มิยฺยามานํ ธมฺมนฺเวติ กิญฺจิ
ทรัพย์สักนิดก็ติดตามคนตายไปไม่ได้
สงฺขารา ปรมา ทุกฺขา
สังขารเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
ขโณ โว มา อุปจฺจคา
ขณะอย่าล่วงท่านทั้งหลายไปเสีย
อติปตฺติ วโย ขโณ ตเถว
วัยย่อมผ้านพ้นไปเหมือนขณะทีเดียว
กาโล ฆสติ ภูตานิ สพฺพาเนว สหตฺตนา
กาลเวลาย่อมกินสรรพสัตว์กับทั้งตัวมันเอง
พุทธศาสนสุภาษิต : ความโกรธ

โกธํ ฆตฺวา น โสจติ
ฆ่าความโกรธได้แล้วย่อมไม่เศร้าโศก
โกโธ สตฺถมลํ โลเก
ความโกรธเป็นดังสนิมศัสตราในโลก
โกธํ ฆตฺวา สุขํ เสติ
ฆ่าความโกรธได้แล้วย่อมอยู่เป็นสุข
พุทธศาสนสุภาษิต : ความทุกข์

ทฬิทฺทิยํ ทุกฺขํ โลเก
ความจนเป็นทุกข์ในโลก
อิณาทานํ ทุกฺขํ โลเก
การกู้หนี้ เป็นทุกข์ในโลก
ทุราวาสา ฆรา ทุกฺขา
เหย้าเรือนที่ปกครองไม่ดี นำทุกข์มาให้
สงฺขารา ปรมา ทุกฺขา
สังขารเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
พุทธศาสนสุภาษิต : สหาย

อตฺถมฺหิ ชาตมฺหิ สุขา สหายา
เมื่อความต้องการเกิดขึ้น สหายเป็นผู้นำสุขมาให้
สเจ ลเภถ นิปกํ สหายํ จเรยฺย เตนตฺตมโน สติมา
ถ้าได้สหายผู้รอบคอบพึงพอใจมีสติเที่ยวไปกับเขา
ปาปมิตฺโต ปาปสโข ปาปอาจารโคจโร
มีมิตรเลว มีเพื่อนเลว ย่อมมีมรรยาทและมีที่เที่ยวเลว
นตฺถิ พาเล สหายตา
ความเป็นสหาย ไม่มีในคนพาล
ภริยา ปรมา สขา
ภริยาเป็นเพื่อนสนิท, ภรรยาเป็นสหายอย่างยิ่ง
พุทธศาสนสุภาษิต : มลทิน

อสชฺฌายมลา มนฺตา
มนต์มีการไม่ท่องบ่น เป็นมลทิน
อนุฏฺฐานมลา ฆรา
เหย้าเรือนมีความไม่หมั่นเป็นมลทิน
มลํ วณฺณสฺส โกสชฺชํ
ความเกียจค้านเป็นมลทินแห่งผิวพรรณ
มลิตฺถิยา ทุจฺจริตํ
ความประพฤติชั่วเป็นมลทินของหญิง
พุทธศาสนสุภาษิต : บริสุทธิ์

สุทฺธิ อสุทฺธิ ปจฺจตฺตํ
ความบริสุทธิ์และความไม่บริสุทธิ์มีเฉพาะตัว
นาญฺโญ อญฺญํ วิโสธเย
ผู้อื่นพึงทำให้ผู้อื่นบริสุทธิ์ไม่ได้
สุทฺธสฺส สุจิกมฺมสฺส สทา สมฺปชฺชเต วตํ
พรตของผู้บริสุทธิ์มีการงานสะอาด ย่อมถึงพร้อมทุกเมื่อ
พุทธศาสนสุภาษิต : การชนะ

สพฺพรติง ธมฺมรติ ชินาติ
ความยินดีในธรรมย่อมชนะความยินดีทั้งปวง
ตณฺหกฺขโย สพฺพทุกฺขํ ชินาติ
ความสิ้นตัณหา ย่อมชนะทุกข์ทั้งปวง
น หิ ชิตํ สาธุ ชิตํ ยํ ชิตํ อวชิยฺยติ
ความชนะที่ไม่กลับแพ้เป็นดี
อสาธุง สาธุนา ชิเน
พึงชนะคนไม่ดี ด้วยความดีของตน
ชิเน กทริยํ ทาเนน
พึงชนะคนตระหนี่ ด้วยการให้
สจฺเจนาลิกวาทินํ
พึงชนะคนพูดปดด้วยคำจริง
พุทธศาสนสุภาษิต : หว่านพืชเช่นใด ได้ผลเช่นนั้น

อคฺคสฺส ทาตา ลภเต ปุนคฺคํ
ผู้ให้สิ่งที่เลิศ ย่อมได้สิ่งที่เลิศอีก
มนาปทายี ลภเต มนาปํ
ผู้ให้สิ่งที่ชอบใจ ย่อมได้สิ่งที่ชอบใจ
เสฏฺฐนฺทโท เสฏฺฐมุเปติ ฐานํ
ผู้ให้สิ่งที่ประเสริฐ ย่อมถึงฐานะที่ประเสริฐ
ททโต ปุญฺญํ ปวฑฺฒติ
บุญของผู้ให้ย่อมเจริญ
ทเทยฺย ปุรโส ทานํ
คนควรให้ทาน
ปุญฺญมากงฺขมานานํ สงฺโฆ เว ยชตํ มุขํ
พระสงฆ์นั้นแล เป็นประมุขของเหล่าชนผู้จำนงบุญบูชาอยู่
พุทธศาสนสุภาษิต : ผู้ครองเรือน

ทุราวาสา ฆรา ทุกฺขา
เหย้าเรือนที่ปกครองไม่ดี นำทุกข์มาให้ฯ
อนุฏฺฐานมลา ฆรา
เหย้าเรือนมีความไม่หมั่น เป็นมลทินฯ
โภคา สนฺนิจฺจยํ ยนฺติ วมฺมิโก วุปจียติ
โภคทรัพย์ของผู้ครองเรือนดี ย่อมถึงความพอกพูน เหมือนจอมปลวกกำลังก่อขึ้นฯ
พุทธศาสนสุภาษิต : ภรรยา

ภตฺตา ปุญฺญาณมิตฺถิยา
ภัสดาเป็นสง่าของสตรีฯ
ภตฺตารํ นาติมญฺญติ
ภรรยาดี ไม่ดูหมิ่นภัสดา
ภตฺตุ ฉนฺทวสานุคา
ภรรยาย่อมคล้อยตามอำนาจแห่งความพอใจของภัสดา
ภตฺตุญฺจ ครุโน สพฺเพ ปฏิปูเชติ ปณฺฑิตา
ภรรยาผู้ฉลาดย่อมนับถือภัสดาและคนควรเคารพทั้งปวง
ภตฺตุมนา ปญฺจรติ
ภรรยาดีย่อมประพฤติเป็นที่พอใจของภัสดา
สมฺภตํ อนุรกฺขติ
ภรรยาดีย่อมคอยรักษาทรัพย์ที่ภัสดาหามาได้ไว้
สุสํวิหิตกมฺมนฺตา
ภรรยาดีเป็นผู้จัดทำการงานดี
สุสฺสูสา เสฏฺฐา ภริยานํ
บรรดาภิรยาทั้งหลาย ภริยาผู้เชื่อฟังเป็นผู้ประเสริฐ
พุทธศาสนสุภาษิต : วาจา

หทยสฺส สทิสี วาจา
วาจาเช่นเดียวกับใจ
สํโวหาเรน โสเจยฺยํ เวทิตพฺพํ
ความเป็นผู้สะอาด พึงทราบได้ด้วยถ้อยคำสำนวน
ทุฏฺฐสฺส ผรุสวาจา
คนโกรธมีวาจาหยาบคาย
มุตฺวา ตปฺปติ ปาปิกํ
คนเปล่งวาจาชั่วย่อมทำตนให้เดือดร้อน
อภูตวาที นิรยํ อุเปติ
คนพูดไม่จริง ย่อมเข้าถึงนรก
สณฺหํ คิรํ อตฺถาวหํ ปมุญฺจ
ควรเปล่งวาจาให้ไพเราะที่มีประโยชน์
ตเมว วาจํ ภาเสยฺย ยายตฺตานํ น ตาปเย
ควรกล่าวแต่วาจาที่ไม่ยังตนให้เดือดร้อน
น หิ มุญฺเจยฺย ปาปิกํ
ไม่ควรเปล่งวาจาชั่วเลย
สํโวหาเรน โสเจยฺยํ กลฺยาณิง
ควรเปล่งวาจางาม ให้เป็นที่พอใจฯ
วาจํ มุญฺเจยฺย กลฺยาณิง
ควรเปล่งวาจางาม
โมกฺโข กลฺยาณิกา สาธุ
เปล่งวาจางาม ยังประโยชน์ให้สำเร็จ
มนุญฺญเมว ภาเสยฺย
ควรกล่าวแต่วาจาที่น่าพอใจ
นามนุญฺญํ กุทาจนํ
ในกาลไหนๆ ไม่ควรกล่าววาจาไม่น่าพอใจ
วาจํ ปมุญฺเจ กุสลํ นาติเวลํ
ไม่ควรกล่าววาจาที่ดี ให้เกินกาล
พุทธศาสนสุภาษิต : ความกตัญญูและพรหมวิหาร

หิริโอตฺตปฺ ปิยญฺเญว โลกํ ปาเลติ สาธุกํ
หิริและโอตตับปปะ ย่อมรักษาโลกไว้เป็นอันดี
โลโกปตฺถมฺภิกา เมตฺตา
เมตตาเป็นเครื่องค้ำจุนโลก
อรติ โลกนาสิกา
ความริษยาเป็นเหตุทำโลกให้ฉิบหาย
มหาปุริสภาวสฺส ลกฺขณํ กรุณาสโห
อัชฌาศัยที่ทนไม่ได้เพราะกรุณาเป็นลักษณะของความเป็นมหาบุรุษ
นิมิตฺตํ สาธุรูปานํ กตญฺญูกตเวทิตา
ความกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายแห่งคนดี
สพฺพญฺเจ ปฐวิง ทชฺชา เนว นํ อภิราธเย
ถึงแม้ให้แผ่นดินทั้งหมดก็ยังคนอกตัญญูให้จงรักไม่ได้
พุทธศาสนสุภาษิต : คนชั่วกับลาภสักการะ

หนฺติ โภคา ทุมฺเมธํ
โภคทรัพย์ย่อมฆ่าคนมีปัญญาทราม
สกฺกาโร กาปุริสํ หนฺติ
สักการะ ย่อมฆ่าคนชั่วเสีย
พุทธศาสนสุภาษิต : การงาน

อกิลาสุ วินฺเท หทยสฺส สนฺติง
คนไม่เกียจคร้าน พึงได้รับความสงบใจ
สุทสฺสํ วชฺชมญฺเญสํ อตฺตโน ปน ทุทฺทสํ
ความผิดของผู้อื่นเห็นง่าย ฝ่ายของตนเห็นยาก
อิติ วิสฺสฏฺฐกมฺมนฺเต อตฺถา อจฺเจนฺติ มาณเว
ประโยชน์ย่อมล่วงเลยคนหนุ่มผู้ทอดทิ้งการงาน
นกฺขตฺตํ ปฏิมาเนนฺตํ อตฺโถ พาลํ อุปจฺจคา
ประโยชน์ย่อมล่วงเลยคนโง่ผู้มัวถือฤกษ์อยู่

วันอังคารที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2553

ม่ายมีเขา...หัวใจเรา...ก้อยังเต้นอยู่...

... เรื่องของความรัก..บังคับกันไม่ได้...

ที่ผ่านมา เราทำทุกอย่างดีที่สุดแล้ว
และเขาก็อาจพยายามรักเรามากที่สุดแล้ว
แต่เมื่อความรักจืดจางไป
เขาจะบังคับตัวเองอย่างไรได้
และเราจะบังคับเขาอย่างไรได้

... ใครจะไม่รักเราหรือไม่รักเรา ขึ้นอยู่มี่ใจเขา ไม่ว่าเราจะเอาเหตุผลใดมาอ้างก็ไม่มีทางเหนี่ยวรั้งคนที่หมดรักเราแล้ว...ให้ยังอยู่กับเราได้...
...หัวใจของคนเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เป็นธรรมดา ที่ใครคนหนึ่งจะรักเราเมื่อเขาอยากรักและเดินจากไปเมื่อเขาหมดรัก…
มันไม่ใช่ความผิดของเรา ของเขา หรือของใคร...ที่ผ่านมาเราทำทุกอย่างดีที่สุดแล้ว แต่เมื่อความรักจืดจางไป เขาจะบังคับตัวเองอย่างไรได้ และเราจะบังคับเขาอย่างไรได้ ไม่มีใครไม่อยากอยู่กับคนที่ตัวเองรัก หากเขารักเรา เขาคงยังอยู่ เพราะเขาอยู่กับเราแล้วเขามีความสุข...
เมื่อเขาพบว่า...การอยู่กับเราทำให้เขามีความทุกข์ อึดอัดใจ เบื่อหน่าย หัวใจแห้งแล้ง ไม่มีชีวิตชีวา มันก็ย่อมดีกว่า...ถ้าเขาจะเดินจากเราไป...แล้วไปตามหาคนที่ใช่มากกว่า ไปอยู่กับคนที่เขารัก สร้างวันเวลาดีๆให้กับชีวิตของตัวเอง แล้วเราล่ะ...จะไม่คิดถึงวันเวลาที่ยังเหลือของชีวิตเราบ้างหรือ...
เราบังคับใจใครไม่ได้ เหมือนกับที่เราไม่อาจบังคับใจตัวเอง เรายังรักเขาอยู่ อันนั้นก็พอเข้าใจ แต่เมื่อเขาไม่อยู่ให้เรารักแล้ว เรายังจะดื้อรั้น รักคนที่ไม่มีตัวตนอยู่ในชีวิตเราอีกแล้วอย่างนั้นหรือ...

...มันไม่ผิด ที่เราจะเลือกรักใครคนหนึ่ง
แต่มันคงจะผิด ถ้าเราจะกักขังใจตัวเอง
ให้อยู่กับความทุกข์ ความเจ็บปวดไปตลอดกาล...







วันเวลาที่ผ่านมา...มีค่าให้จำ ...แต่ไม่ควรทำให้เราเจ็บ...

แม้เราอยากให้ทุกสิ่งทุกอย่างย้อนคืนกลับมา อยากเปลี่ยนคราบน้ำตาแห่งความอ้างว้าง เสียใจ ให้เป็นรอยยิ้มแห่งความสุข ความอบอุ่นใจอีกครั้ง แต่มันคงเป็นคงเป็นไปไม่ได้ ที่สิ่งเหล่านี้จะหวนคืนมาเป็นเช่นเดิม เพราะในวันนี้...คนคนนั้นในความทรงจำของเราไม่ใช่คนเดิม...
ในช่วงเวลาแห่งความรักที่อ่อนหวาน ระหว่างเราและเขา คงมีเรื่องราวดีๆมากมายให้จดจำ เขาเคยดีต่อเราแค่ไหน เราและเขาเคยทำเพื่อกันและกันมามากเท่าไหร่...
ทุกอย่างคือภาพความทรงจำที่ดี ที่เราอยากจะจดจำ อดไม่ได้ที่จะคิดถึง คร่ำครวญถึง แต่เทื่อคิดถึงภาพเหล่านั้นแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะเจ็บ...เคยถามตัวเองว่า...การเจ็บปวด มีน้ำตากับเรื่องที่มันผ่านไปแล้ว มันมีประโยชน์กับชีวิตเราอย่างไร…
จงอย่าเสียดายที่เราได้เสียเวลาร่วมสร้างสิ่งดีๆกับเขา และอย่าเสียใจที่เรืองราวเหล่านั้นต้องจบลงไป ทุกอย่างเกิดขึ้นตามวาระเวลาของมัน อะไรในโลกนี้ที่เคยดี วันหนึ่งก็ย่อมเปลี่ยนแปลงไปได้ เหมือนกับความรักของเราที่เคยหอมหวาน แต่วันนี้กลับจืดจางลงอย่างไม่น่าเชื่อ...

...ถ้าอยากจะอยู่อย่างคนมีความทรงจำ
ก็จงจำอย่างมีความสุข
หากจำแล้วทุกข์ ทรมานใจ
ก็ลืมมันไปให้หมดสิ้นเสียดีกว่า...
















...ทำไมเราต้องเสียน้ำตา...

...ถ้าน้ำตาทุกหยด กลับทำให้เรายิ่งอ่อนแอ
ยิ่งร้อง ยิ่งหมดเรี่ยวหมดแรง ยิ่งทุกข์ใจ
ก็จงหยุดร้องเสียเถอะ
เพราะว่าพรุ่งนี้ ยังมีอะไรที่เราต้องคิด ต้องทำ
หากเรายังร้องไห้ จมน้ำตาอยู่แบบนี้
จะมีแรงที่ไหน ไปดูแลชีวิตตัวเองได้...

ในชีวิตนี้ มีไม่กี่ครั้งที่เราให้อะไรกับใครฟรีๆ หรือยอมเป็นฝ่ายสูญเสีย โดยไม่ได้อะไรคืนมา แต่ครั้งนี้ เรากำลังทำเช่นนั้นอยู่ เรากำลังเสียน้ำตาให้คนที่ไม่รัก ไม่ได้แคร์เรา เรากำลังร้องไห้ ปล่อยน้ำตาให้รินไหลออกมาอย่างไร้ค่า ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครแม้แต่จะมองเห็น
เขาอาจรับรู้ว่าเราเจ็บปวด แต่เขาก็ช่วยแบ่งเบาความเจ็บปวดของเราไม่ได้ อย่างดีที่สุด...เขาก็แค่ยืนมองเราร้องไห้ แล้วกระซิบบอกกับตัวเองว่า...อย่างไรก็ตาม กับคนคนนี้ เราก็ให้ได้เพียงแค่ความสงสาร แต่ไม่ใช่ความรัก ความห่วงใยอาทร เหมือนที่เคยมี...
...ทุกวินาทีที่ร้องไห้ เราได้อะไรนอกจากความเจ็บปวด
น้ำตาที่รินไหลลงมา จะมีค่าตรงไหน
ถ้าคนที่เราร้องไห้ ไม่ได้อยู่เคียงข้างเราตรงนี้...
ถ้าน้ำตาทุกหยดที่เรากลั่นออกจากสองตา ทำให้เราเข้มแข็งมากขึ้น ก็จงร้องไปเถอะ ร้องให้มากๆจะได้เข้มแข็งไวๆ

...แม้เราจะร้องไห้ให้เขามากเท่าไหร่
ก็ไม่ได้อะไรกลับมา
เพราะบางอย่างก็ใช้น้ำตาแลกไม่ได้
เฉกเช่นความรัก...








เจ็บจนตาย...ถ้าตัดไม่ขาด

ความรักนี้ไม่ใช่เป็นเพียงแก้วร้าว
แต่มันเป็นเพียงแก้วที่แตกไปแล้ว
ทำอย่างไรก็ไม่มีทางประสานให้กลับคืนมาได้ใหม่
ถ้าเรายังคงยึดติดกับความรัก ความเสียดาย
สิ่งเดียวที่จะได้รับกลับมา
ก็คือความชอกช้ำใจอย่างไม่มีวันจบสิ้น

เยื่อใยที่เรามีให้เขา...เป็นเหมือนเชือกหนาที่ผูกดึงเรา ไม่ให้เราหลุดพ้นไปจากขุมนรกที่เจ็บปวดขุมนี้ ถ้าเราไม่ตัดสินใจให้เด็ดขาด ไม่ยอมตัดเชือกเส้นนี้ออกไปให้พ้น เยื่อใยงี่เง่าจะผูกขังตัวเราอยู่อย่างนี้ ทำให้เราต้องเจ็บ ต้องทุกข์ทรมารตลอดไป
ในวันที่เราถูกทำร้ายให้เจ็บชอกช้ำ เราตัดสินใจแล้วที่จะเดินจากมาให้ไกลแสนไกล เราเลือกแล้วที่จะหันหลังให้ทุกอย่าง ไม่หันหลังกลับไปมองความรัก ความผูกพันเก่าๆ
ไม่มีเยื่อใยให้กับความทรงจำที่โหดร้ายอีก
แต่หัวใจเรา... ทำไมยังตัดเขาไม่ได้ เรายังรัก ยังจดจำ ยังคิดถึง ยังอยากจะรู้ว่าเขาอยู่ดีไหม อยู่กับใคร คิดถึงเราบ้างไหม คำถามแห่งความทุกข์ทรมารถาโถมเข้ามาในใจเราทุกวัน บางคำถามก็ไม่มีคำตอบ บางคำถามก็มีคำตอบ แต่เป็นคำตอบที่แสนจะเจ็บปวด...
...เขาไม่ได้รักเราแล้ว และไม่อยู่ตรงนี้แล้ว นั้นคือคำตอบเดียวที่แท้จริง...

เมื่อคิดจะตัดเขาแล้ว ก็จงตัดให้ขาด
อย่าให้มันยังยื้อยั้ง คาราคาซังอยู่อย่างนี้
เมื่อใดที่หัวใจเราไม่มีภาพของเขาอีก เมื่อนั้นความทุกข์ทรมารก็จะสลายหายไป










เขามีสิทธิ์จะเป็นของใครก็ได้...เพราะเขาไม้ใช่ของเรา

เราเจ็บปวดที่เห็นเขามีคนอื่น
เพราะเราคิดว่าคนอื่นคนนั้นโชคดีที่ได้เขาไป
แต่ความจริงแล้วเราต่างหากเป็นคนที่โชคดี
ที่ได้หลุดพ้นจากคนคนนี้
และคนใหม่คนนั้นต่างหากเป็นคนที่โชคร้าย
ที่กำลังจะได้รับความเจ็บปวดเสียใจ
อย่างที่เราเคยได้รับจากเขา

เขาแค่เคยเป็นของเรามาก่อน แต่ตอนนี้เขาไม่ใช่ของเราแล้ว ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น และทำใจเสียดีกว่า คิดเสียว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะในโลกใบนี้ ก็ไม่มีอะไรที่จะเป็นของเราได้ตลอดไป
...ความรักได้จบลงไปแล้ว สิทธิ์การเป็นเจ้าของในตัวเขา วันนี้ได้หมดลงโดยสิ้นเชิง เราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปกำหนดชีวิตเขาได้อีก ไม่แม้แต่จะมีสิทธิ์ออกความคิดเห็น เขาจะไปรักใคร ชอบใคร นั้นก็เป็นสิทธิ์ของเขา เขามีอิสระเต็มที่นับตั้งแต่วันที่เรื่องราวระหว่างเขาและเราได้สิ้นสุดลง แม้หัวใจเราจะยังรักและซื่อสัตย์ต่อเขาอยู่ แต่นั้นไม่ได้หมายความว่า...ความรักที่มั้นคงจริงแท้ของเราจะไปเหนี่ยวรั้งเขาไว้ได้

จะไปสนใจเรื่องราวของเขาทำไมให้เจ็บปวด
ในวันที่เราเฝ้าติดตามมองเขา เขากลับมองเราเป็นคนที่ไร้ค่า
ความรักที่ยังหลงเหลือในใจเรา เป็นสิ่งที่เขาไม่ต้องการ
ยิ่งเราไปติดตามเขา สนใจเขา พยายามจะรับรู้รับฟังเรื่องราวของเขา
เราก็ยิ่งเป็นคนที่ไมมีค่า น่ารำคาญ

...ฐานะของคนที่จบความสัมพันธ์กันไปแล้ว เราไม่มีสิทธิ์อะไรที่จะไปหึงหวงเขาอีก...

ยังมีอีกหลายคน
ที่พร้อมจะยกหัวใจให้เป็นของเรา
ปล่อยเขาไปเถอะ
แค่คนไม่มีหัวใจแค่คนเดียว


ถ้าเราไม่ใช่หนึ่งเดียวในใจ...ก็ไม่มีความหมาย


หัวใจหนึ่งดวง ไม่สามารถแบ่งให้ใครได้หลายคน
ถ้าเขาคิดแบ่งหัวใจให้คนมากกว่าหนึ่งคน
หัวใจของเขา ก็ไม่ใช่หัวใจที่แท้จริง...

...จากที่เขาเคยรักเรา มีเราคนเดียวตลอดมา วันนี้เขาไปรักคนอื่น มีคนอื่น นั้นก็บ่งบอกแล้วว่า...เราไม่อากเป็นเจ้าของหัวใจเขาอีกต่อไป...แต่รู้ทั้งรู้อย่างนั้น เราก็ยังร้องขอให้เขามาเหลียวแล แบ่งเอาเศษเสี้ยวของหัวใจที่เขาให้คนอื่นไปแล้ว กลับมาให้เราอีกครั้งหนึ่ง เพราะเราคิดว่า...การได้กอดเก็บเศษจุณหัวใจของเขา มันก็ยังดีกว่าเราต้องไม่เหลืออะไรเลย

ไม่จำเป็นต้องมีศักดิ์ศรี ขอแค่ได้มีเศษเสี้ยวความสำคัญ ไม่จำเป็นต้องมีเขาทั้งคน คี่มีครึ่งหนึ่งของความเป็นเขาก็พอแล้ว เรายอมที่จะเป็นคนที่ไร้ความหมาย ไร้ค่าที่สุด เพื่อที่จะได้เห็นว่า...เขายังวนเวียนอยู่ในชีวิต แม้ไม่ได้อยู่เพื่อสร้างความสุขให้กับเรา แค่อยู่เพื่อสร้างความทุกข์ให้กับเราก็ยังดี เคยถามตัวเองไหมว่า...สิ่งที่เรากำลังทำอยู่ เราทำเพื่ออะไร.....

ตัวเรา หัวใจเรา และความรักของเรา
ยังมีค่าพอสำหรับคนอื่นอีกมากมายในโลกนี้
ไม่จำเป็นเลย
ที่เราต้องเอามันไปแลกกับเศษหัวใจไร้ค่าเอามันคืนมาดีกว่า แล้วเก็บรักษาไว้รอคนที่คู่ควร...

วันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2553

วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2553

ความหลง

ความหลง

ความรักที่มากเกินความพอดี โดยไม่สนใจความถูกผิด ไม่เปิดใจรับเหตุผลต่างๆ พัฒนาการของความรัก ความพึงพอใจในจุดจุดหนึ่งของอีกฝ่าย เมื่อคบหาแล้วก็เริ่มที่จะพิจารณาและเห็นจุดยืนของความต้องการในตัวตนของตัวเองจนเกิดเป็นความชอบในองค์ประกอบของเค้า โดยมีเรื่องของเวลานำพาและสร้างความผูกพันความคิดถึง ห่วงหาจนเกิดเป็นความรัก ที่มีความสุข หากหมดรักเมื่อไหร่ ก็ไม่มีความสุขและเมื่อรักมากๆ มากจนเกินความพอดี โดยไม่คำนึงถึงความถูกผิด ไม่เปิดใจรับความจริงในเหตุผลต่างๆ นั่นแหละคือ " ความหลง "แต่บางครั้งก็ตอบไม่ได้เลยว่า มันคืออะไร มันอาจจะสับสนบ้างกับความรัก เพราะเราอาจจะตอบไม่ได้เลยว่าเราชอบหรือรักเค้าที่ตรงไหน ชอบหรือรักเค้าที่อะไร เมื่อไหร่ อย่างไร จะมีก็แต่คำว่า " ความรักไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลหรือทฤษฏี รักก็คือรักห้วนๆ หากรู้ตัวรู้ว่านี่คืออะไรเค้าจะเรียกว่าความรักหรือ!! " หรือว่าความรักคือความไม่รู้กันแน่นี่ หรือความไม่มีเหตุผลกันแน่ !!

แล้วคุณหล่ะ เมื่อมีความรักแล้วรู้ตัวอยู่หรือเปล่าว่านี่คือความรักหรือความหลง รู้ตัวหรือเปล่าว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่ รู้ตัวอยู่หรือเปล่าว่าคุณมีความรักได้อย่างไร? เมื่อไหร่?

แล้วความรักมันจะมาหาคุณเอง เมื่อวันใด เมื่อไหร่ที่คุณมีความกังวนใจ ว้าวุ่น ครุ่นคิดถึงใครสักคน สับสน แล้วเฝ้าถามตัวเองว่าเราเป็นอะไรไปเนี่ย นั่นแหล่ะความรักมันได้เริ่มคืบคลานเข้ามาหาคุณอย่างช้าๆ

"ความรักมักเล่นแง่กับเรา เมื่อเรามีความรักมันกลับวิ่งหนี เมื่อเราอยู่เฉยๆ มันกลับมาหาเราทั้งๆ ที่เราไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ " แต่นั่นก็เป็นความรักที่เกิดจากโชคหรือดวง แต่หากวันใดโชคหรือดวงที่ว่านี้มันเลิกเล่นแง่กับเรา เราก็อย่าได้เล่นแง่กับคนที่เรารักกับความรัก กับตัวเองเลย เมื่อเกิดการผิดใจกัน ลองคิดดูสิว่ากว่าเราจะได้รับมันมากว่าเราจะพบต้องใช้อะไรไปบ้าง? ความจริงใจ เวลา ความหนักแน่ ความมั่นคง ความเชื่อใจ ความไว้วางใจ แล้วจะให้ความคิดเพียงชั่ววูบมาทำลายสิ่งดีๆ ที่ผ่านมามันไม่คุมเอาเสียเลย

" หากคิดที่จะรัก ใยต้องคิดถึงความผิดหวัง?

หากคิดที่จะรัก ใยคิดถึงผลที่ขมขื่นของมัน?



หากไม่รู้จักรัก จะรู้จักความสุขหรือ?

หากคิดแต่เรื่องความทุกข์ แล้วจะสุขได้อย่างไร?

และหากมีใจ ใยต้องสร้างกำแพงขวางกัน? หรือต้องการที่จะพิสูจน์อนุภาพของมัน...... "

เรื่องของความรัก -------> ไม่มีคำว่ายุติธรรม หรือ คำว่าเสมอภาค

เรื่องของความรัก -------> ไม่มีคำว่าบังเอิญ มีแต่คำว่าตั้งใจ

เรื่องของความรัก -------> ไม่มีคำว่าฝืนทน มีแต่คำว่าเข้าใจ

เรื่องของความรัก -------> ไม่มีคำว่าเสียสละให้ใคร มีแต่คำว่ารัก เข้าอกเข้าใจ รู้ใจ เห็นใจ และร่วมฝ่าฟันไปด้วยกันก็พอ

ความรัก

ความรัก

ในเชิงอุดมคติคือ " ความชอบ ความพึงพอใจ ความจริงใจ ความปรารถนาดี ความหวังดี ความบริสุทธิ์ใจ โดยไม่ต้องการสิ่งตอบแทน ความหลงไหล ความผูกพัน ความห่วงหา ความอาทร ความเข้าใจ ความห่วงใย ความใส่ใจ ความคิดถึง ความอบอุ่น ความนุ่มนวล ความอ่อนโยน ความอ่อนแอ ความอ่อนไหว ความสุข ความเสียสละ

" ความรักในเชิงทิฐิคือ " ความหึงหวง ความเสียใจ ความผิดหวัง ความเจ็บปวด ความชิงชัง ความเกลียดชัง ความก้าวร้าว ความรุนแรง ความโกรธแค้น ความเห็นแก่ตัว

" ความรักเชิงจินตนาการคือ " การเอาตัวเองเข้าไปพิสูจน์อย่างไม่มีวันที่สิ้นสุด

" ความรักในเชิงภาษาคือ " คำที่มี 2 พยัญชนะ เริ่มจาก ร เรือ และ ก ไก่

ร เรือ คือ การเรียนรู้
ก ไก่ คือ กาลเวลา

นั่นจึงมีหมายความว่า ความรักคือ การเรียนรู้ซึ่งกันและกันของคน 2 คน ที่มาอยู่ร่วมกัน ปรับตัวเข้าหากัน โดยมีเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์และประสานคนทั้ง 2 คน ให้เกิดความใกล้ชิดกันและเกิดเป็นความผูกพัน จนทำให้เกิดเป็นความเข้าใจ และเกิดเป็นสุขตามมา นั่นแหล่ะ " ความรัก "เหตุผล ปัจจัย ความเป็นไป ที่มาและพัฒนาการของความรักมีดังนี้

1.ความพึงพอใจ
2.ความชอบ
3.ความใกล้ชิด
4.ความผูกพัน
5.ความเข้าใจ

วันสิ้นโลก

วันสิ้นโลก

ทฤษฎีที่โด่งดังมากสุดคงต้องยกให้กับคำทำนาย ที่ว่า
โลกบูดเบี้ยวใบนี้จะแตกดับในวันที่ 21 ธ.ค. 2012
หรืออีกแค่ 5 ปีข้างหน้า...ด้วยชุดเลขสวย 212012

ทฤษฎีนี้คิดค้นขึ้นโดยชนเผ่ามายัน วันดังกล่าวถือเป็นวันสิ้นสุดปฏิทินลอง เคาต์ (Long Count) หรือ ปฏิทินลำดับที่ 3 ของชาวมายัน โดยปฏิทินลอง เคาต์ เล่มล่าสุดนั้น เริ่มต้นในปี 3114 ก่อนคริสตกาล และจะดำเนินต่อเนื่องเป็น 13 รอบบักตุน (baktun) กินเวลาทั้งสิ้นราว 5,126 ปี บวกลบออกมาแล้วก็ตรงกับปี 2012 พอดิบพอดี

การเริ่มต้นของ 13 รอบบักตุน เรียกได้อีกอย่างว่า อาทิตย์ดวงที่ 5 ซึ่ง ช่วงเวลาดังกล่าวจะเวียนมาบรรจบเพื่อก่อกำเนิดดวงอาท ิตย์ครบ 5 ดวง ในวันที่ 21 ธ.ค. 2012 โดยคำทำนายระบุเอาไว้ว่า ในวันนั้นโลกจะเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งมโหฬาร ไล่เรียงตั้งแต่ภัยธรรมชาติที่จะทำลายทุกสิ่งไปจนถึง สงครามอภิมหาโลกาวินาศ จนไม่มีมนุษย์คนใดมีชีวิตรอด ซึ่งอย่างหลังนี้อาจเชื่อมโยงได้กับทฤษฎีสงครามโลกคร ั้งที่ 3 ของนอสตราดามุส โหราจารย์ชื่อก้อง

สถานการณ์น่าระทึกในวันอวสานโลกข้างต้นตามจินตนาการของ อง โคลด โคเวน นักเขียนหนังสือแนวอภิปรัชญาชาวฝรั่งเศส บรรยายว่า ให้นึกถึงภาพตัวเองอยู่ในสถานีรถไฟอันแออัดตอนเช้า แล้วทันใดนั้นก็เกิดเหตุโกลาหลครั้งใหญ่ทั้งธรรมชาติ แปรปรวนและระบบ คอมพิวเตอร์หรือระบบควบคุมการทำงานของเครื่องจักรเคร ื่องยนต์ต่างๆ ขัดข้อง จนเป็นเหตุให้ขบวนรถไฟในชานชาลาพากันวิ่งออกไปคนละทิ ศ คนละทาง คล้ายกับซี่วงล้อเกวียน

ในสถานการณ์อันเลวร้ายเช่นนั้นยังกดดันให้คุณจำเป็นต้องเลือกขึ้นรถไฟสัก ขบวน อย่างน้อยก็ยังรอดจากการโดนรถไฟทับตาย แต่น่าเสียดายเหลือเกินที่คุณไม่มีทางรู้เลยว่า รถไฟขบวนที่หลับหูหลับตาขึ้นไปนั้นจะพาคุณไปไหน

น่าแปลกที่นอกจาก 212012 จะเป็นวันสุดท้ายของปฏิทินชนเผ่ามายันแล้ว ยังมีข้อมูลทาง ดาราศาสตร์ที่ระบุไว้ว่า จะ เกิดพลังงานลึกลับที่จะเปลี่ยนแปลงโลกไปตลอดกาล โดยในเวลาที่ดวงอาทิตย์อยู่ห่างจากเส้นศูนย์สูตรมากที่สุดในช่วง ฤดูหนาวของปี 2012 นั้น ดวงอาทิตย์จะอยู่ในระนาบเดียวกับใจกลางของทางช้างเผื อกเป็นครั้งแรกในรอบ 2.6 หมื่นปี ซึ่งหมายความว่า พลังงานทุกประเภทจากใจกลางของทางช้างเผือกจะถาโถมและ เกิดการปะทะกับพลังงาน ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็นของโลกในวันที่ 21 ธ.ค. 2012 เวลา 23.11 น. (11.11 pm ตามเวลาสากล)

สมมติว่า มีมนุษย์เหลือรอดบนโลก ก็ไม่อาจรู้ว่าจะจำตัวเองได้หรือไม่ เนื่องจากพลังงานทั้งหลาย แหล่ข้างต้นจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของ ดีเอ็นเอ นำมาซึ่งการกลายพันธุ์ หรือสรุปคร่าวๆ ได้ว่า ถึงตอนนั้นโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง คนที่รอดต้องดิ้นรนสร้างสิ่งต่างๆ นับจากศูนย์

นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลทางธรณีวิทยาที่ชี้ว่า ปี 2012 คือปีที่ซูเปอร์โวลคาโน หรือภูเขาไฟใต้น้ำครบกำหนดเวลา 7.4 หมื่นปีที่จะทำลายหรือระเบิดตัวเอง โดยสัญญาณเตือนภัยครั้งล่าสุด คือ โศกนาฏกรรมคลื่นยักษ์สึนามิเมื่อปี 2004 ที่บอกให้ชาวโลกรู้ว่า โครงสร้างพื้นผิวโลกได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และการระเบิดของซูเปอร์โวลคาโนอาจไม่ใกล้ไม่ไกลบริเว ณที่เคยเกิดสึนามิมา ก่อน

และเป็นที่น่าสังเกตว่า ระยะหลังมานี้ เกิดเหตุแผ่นดินไหว ดินถล่ม และน้ำในแม่น้ำหรือทะเลสาบเหือดแห้งบ่อยครั้งทั่วโลก เป็นไปได้ที่ส่วนหนึ่งเกิดจากภาวะโลกร้อน แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้เช่นกันว่าโครงสร้างของพื้นผิวโลกกำลังขยับและเปลี่ยน แปลงตัวเองโดยที่มนุษย์ไม่รู้ตัว

ในขณะนี้กระแสเรื่อง 2012 มาเเรงมาก อีกทั้งตอนนี้มีภาพยนตร์เรื่อง 2012 วันสิ้นโลกด้วย
เเล้วยิ่งทำให้เรื่องนี้กลายเป็นหัวข้อ ทอล์คออฟเดอะทาวด์เลยก็ว่าได้ค่ะ
ใครที่ไปดูภาพยนตร์เรื่อง 2012 มาเเล้วคงจะรุ้สึกกลัวไม่น้อยว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหนัง
นัน้จะเป็นจริงหรือไม่ ? หรือเป็นเพียงเรื่องเล่าเพียงเท่านั้น

พวกเราชาวลูกสยามไปดูมาเเล้วค่ะ สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ รุ้สึกลุ้นตลอดทั้งเรื่องเลยคุ้มค่า
เงินจริงๆ ไม่เสียดายตังค์เลยค่ะ
มันก็ไม่แน่นะคะอีกไม่นานพวกเราอาจจะได้ย้ายไปอยู่แถบทวีปแอฟริกาก็เป็นได้ กำลังหา
วิธีไปแถวนั้นอยู่ค่ะ ฮ่าๆ ๆ เผื่อจะรอด ไม่มีเงินซื้อตั๋วขึ้นเรือ นี่นา..
หนังเรื่องนี้ดูเเล้วประทับใจจริงๆ ได้รู้ซึ้งถึงความเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ครอบครัวเป็นสิ่งที่
สำคัญสำหรับเราจริงๆ ไม่ว่ายังไงครอบครัวมาก่อนเสมอ
อีกอย่างค่ะ..ปลื้มประธานาธิบดีสหรัฐมากมายย ถึงมันจะเป็นแค่หนังก็ตาม
ชีวิตจริงอาจจะไม่เลือกเช่นนั้นก็เป็นได้ ใครจะรู้ ?
คุยมายืดยาว...ออกไปทะเลไปถึงเรื่องหนัง 2012 เลย ที่จริงจุดประสงค์ของเรื่องนี้ที่พวก
เราชาวลูกสยามเอามานำเสนอคือ . .. . เราไม่รู้หรอกค่ะว่าเราจะตายวันไหน จะเกิดอะไรขึ้นในวัน
ข้างหน้า โลกจะถล่ม เกิดสึนามิยักษ์ หรืออะไรก็ตาม เราอยากให้ทุกคนรีบๆทำในสิ่งที่เราอยากทำ
ทำในสิ่งที่ดีๆ ไว้มากๆ พอเวลาเราจะไปจริงๆเราจะได้ไม่รู้สึกเสียดายว่า..ทำไมวันนั้นเราไม่ทำแบบ
นั้น ... ทำไมเราไม่ทำแบบนี้ ? ถึงเวลานั้นเเล้วมันสายไปแล้วค่ะ เราจะย้อนเวลากลับไปไม่ได้อีก
เเล้ว. .. .รีบๆทำสิ่งดีๆให้กับคุณและคนที่คุณรักนะคะ ก่อนที่มันจะสายเกินไป




วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2553

กล้วยไม้


รูปภาพวันวาเลนไทน์



ความรักคือการให้ไม่หวังผล ...
รักจะดลให้เกิดผลในวันหน้า...
ดังรักฉันให้เธอตลอดมา ...
อยากให้เธอนั้นรักษาตลอดไป...



กลอนรัก

กลอนวันวาเลนไทน์

อาจไม่ได้เป็นคนแสนดี ขี้อ้อน
อาจไม่ได้เป็นคนไหวอ่อน อุ่นหวาน
แค่อยากให้เธอรักฉันไปนานๆ
จึงต้องมีนืทานมาเล่าขานเพื่อเธอ
มีนิทานชื่อว่า love story
แต่งด้วยบทกวี อิ่มอุ่นไหวเพ้อ
เล่าเรื่องสู่หัวใจฉัน..สู่หัวใจเธอ
เล่าเรื่องว่ารักเสมอ และ รักเธอ อย่างแท้จริง




กลอนวันวาเลนไทน์ สำหรับคนโดดเดี่ยว

เดือนแห่งรักพักใจในปีนี้
คงไม่มีเธอข้างอย่างที่หวัง
ค่ำคืนผ่านทิ้งฉันไว้ไร้กำลัง
คงอยู่ยังร่างกายไร้วิญญาณ


มองฟ้างามความฝันพลันบรรเจิด
ทุกสิ่งเกิดแต่จบลงคงเพียงสาร
ทุกอย่างผ่านไปเพียงพร้อมกาล
เพียงคอยวานสายลมดูแลเธอ


จะหลบลี้ หนีรัก พักเร่ร่อน
ความดีกร่อน แตกไป ไกลล้นเหลือ
ดีไม่ได้ จะยอมชั่ว คนเป็นเบือ
ไปเป็นเสือ เป็นโจร บนเรือเก


เป็นโจรแล้ว แคล้วคลาด จากความรัก
จะยอมปัก ตั้งมั่น ไม่หันเห
จะยอมเลว เร่ร่อน ด้วยร้อยเล่ห์
หลบเสน่ห์ ความรัก จักคอยตาม


จะหลีกลี้ หนีไป ให้พ้นหน้า
จะหลบตา หนีไป ไกลความหวาม
จะหลบหลีก ปลีกไป ไม่มากความ
ทุกโมงยาม หลีกรัก ปักชีวัน




เดือนแห่งความรัก


เดือน นี้กุมภาพันธ์ วันวา เลนไทน์
แห่ง หนพานพบพา หวานชื่น
ความ รักเจ้าชั่งหา ความสุข ให้มนุษย์
รัก หลากล้วนชื่นมื่น ในวันวาเลนไทน์


Valentine is coming soon
February is cool for love
Guys, Girls give … at noon Chocolates or Roses
All falling in love Happy All Day



....รักกันนะ...

เอาความรักมาฝากรับไหมหนอ
ให้สมค่าที่รอคอยยิ้มหน่อยหนา
ขอโทษด้วยอย่างอนฉันด้วยสายตา
รักเท่าฟ้าโปรดหันมาอย่าน้อยใจ


ยิ้มสักนิดคิดเท่าไหร่ไหนดูซิ
อย่าตำหนิดวงฤทัยให้หวั่นไหว
ที่ผ่านมาระยะทางห่างกันไกล
ขออภัยนะพี่ชายช่วยหายง


จะให้ทำอย่างไรถึงจะหาย
เป็นผู้ชายขี้ใจน้อยเสียจริงหนอ
ผิดไปแล้วไม่ใส่ใจเธอดีพอ
น้ำตาคลอขอเห็นใจใช่เรรวน


เอาความรักมาฝากหากรำคาญ
ดูซิแกล้งทรมานคนปั่นป่วน
หากไม่สนบอกมาเลยขอทบทวน
จะรีบด่วนให้พ้นหน้าไม่มาเยือน


ดีกันนะอย่าน้อยใจให้มันหนัก
กลับมารักกันดั่งเดิมเติมใจเหมือน
ครั้งเราสองนั่งเคียงข้างดูดาวเดือน
อย่าลืมเลือน..สัญญามั่น..วาเลนไทน์ .....



รักอ้ำอึ้ง

เพราะความรู้สึกมันเปราะบาง
พอมาเจอความอ้างว้างจึงเหว่ว้า
เจอกับวันว่างของบางเวลา
ฉันจึงใจโรยราและโรยแรง


เพราะความรู้สึกข้างในจิต
มีคนที่แสนสนิทใจคิดแอบแฝง
คนที่อยู่ไกลใจคงคลางแคลง
กับกริยาที่ฉันแสดงออกมา


ก็ความรู้สึกของคนแอบรัก
แค่เดินไปทำความรู้จักยังไม่กล้า
ใจสั่นมือสั่นเท้าสั่นตัวก็สั่นทุกเวลา
จะบอกรักเธอเท่าฟ้า..ก็ไม่กล้าเพราะว่าอาย


ตัดสินใจเดินเข้าไปบอก
ก๊อกก๊อกก๊อกเปิดประตูใจสื่อความหมาย
เธอที่ฉันชอบ..ขอมอบรักวันวาเลนไทน์
ต้องติดอ่างแทบตาย..กว่าที่จะบอกเธอได้
.......... ว่างใหมไปเที่ยวกัน............




กุหลาบแดงใจช้ำ


กุหลาบแดงแจ้งเป็นสื่อคือความรัก
กุหลาบปักลงกลางใจให้คิดหวน
กุหลาบแดงกลิ่นหอมนานพานรัญจวน
กุหลาบชวนใจให้ช้ำระกำทรวง

วาเลนไทน์ปีที่แล้วกุหลาบสวย
รักปลูกด้วยกุหลาบใจที่ห่วงหวง
วันคืนผ่านรักคงมั่นฝันลมลวง
สิ้นปีล่วงเลยผ่านพ้นจนรักลา

กลีบกุหลาบกระจายหล่นใจแทบขาด
กลีบกุหลาบบาดหัวใจยากรักษา
หนามแหลมคมคอยทิ่มตำกรำน้ำตา
ไหลหลั่งมาอาบสองแก้มแทบวางวาย

กุหลาบแดงแจ้งประจักษ์รักขมขื่น
ทุกวันคืนวาเลนไทน์ขอห่างหาย
ขอหลบมุมอยู่อย่างคนที่เดียวดาย
สิ้นสลายวาเลนไทน์ให้วายปราณ

เปรียบกุหลาบแรกแย้มรักสดสวย
พอเริ่มโรยเปรียบดั่งรักเริ่มหมดหวาน
พอร่วงหล่นรักหลุดลอยคอยจนนาน
อันตธานดอกโศกครองจองใจแทน........




มอบรัก....

ขอมอบรัก ให้น้อง ที่ปองหมาย
อย่างมากมาย ท่วมท้น กมลหนา
สุดจะกล่าว เสกสรร พรรณา
รู้แต่ว่า ใจพี่ภักดิ์ รักนิรันดร์


มิอาจจะ เปลี่ยนใจ ไปจากน้อง
ทั้งสี่ห้อง หทัย ยังใฝ่ฝัน
ใคร่จักร่วม อยู่เรียง เคียงคู่กัน
ทุกคืนวัน รักสดชื่น แหละรื่นรมย์


วาเลนไทน์ จะมา หรือลาจาก
มิอาจพราก เราให้ ได้ขื่นขม
ขอเข้าใจ แหละรัก ภักดิ์เกลียวกลม
ความระทม จักไม่พบ ประสบเลย.




หวานรัก " วาเลนไทน์ "


@ เสียงระฆังกังวานหวานหวานแว่ว
กระซิบแผ่วข้างกายคล้ายดั่งฝัน
Happy Valentine's ชื่นชีวัน
รักจอมขวัญน้องนุชสุดหัวใจ..

กุหลาบแดงแทนใจให้ที่รัก
เฝ้าฟูมฟักรักนี้ที่สดใส
บรรจงหอมแก้มน้องผ่องอำไพ
รัญจวนใจหวานชื่นทุกคืนวัน..

ขอทุกวันเป็นวันแห่งความรัก
ไม่ทายทักเพียงแค่วันที่ผ่านผัน
ขอความรักมากมายมากำนัล
แม้คืนวันผันผ่านเนิ่นนานไป..




My Love My Valentine


มีดอกไม้ในช่อสวยรวยกลิ่นหอม
ดนตรีพร้อมน้อมหัวใจให้ของขวัญ
กุหลาบงามอีกความรักจักพร้อมพรรณ
มอบให้วันวาเลนไทน์...โอบใจเธอ

ไม่ใช่เพียงแค่เคียงกันวันสิบสี่
ทุกนาทีมีรักแจกแลกเสมอ
ทุกเวลาค่าดวงจิตคิดละเมอ
ใจไม่เผลอเพ้อถึงใคร...ใจจดจำ

สุขถ่องแท้แน่นักรักเธอยิ่ง
สุขใจจริง...สิ่งสวรรค์อันชื่นฉ่ำ
ที่มีคุณหนุนเนื่องไป...ใช้รักนำ
ต่างมีคำแห่งรักเป็นหลักใจ

ขอบคุณเธอที่เจอฉันทุกวันนี้
ขอบคุณที่มีกันทุกวันใหม่
เป็นเพื่อตายแม้กายสูญพูนอาลัย
แต่ดวงใจไม่พรากลาวิญญาณ์ยง

ดีใจที่มีเธอเป็นเช่นคู่ยาก
ทางลำบากถากสิ้นดังตั้งประสงค์
แม้ร่างกาย—ลมหายใจมลายปลง
หลับตาลงเพราะคงรักปักชีวิน

จะคู่กันทุกวันวาเลนไทน์
จะอุ่นไอได้ห่มกอดสอดสุขสันต์
กี่ชาติหน้ามาพบคู่อยู่ด้วยกัน
แบ่งหัวใจให้สัมพันธ์...ฉันรักเธอ




Be My Valentines


You mean so much to me
You make me happy
Can't you see?
I love your smile
I knew this would last for more then a while
I love you
Even when I was blue
You are my sunshine
So won't you be my Valentine?



"What is Romance?"

Romance?
What is romance?
Is it when I give you flowers?
When I give you a gorgeous dinner?
Or is it when I simply say,
I love you.



"Love"


Love,
is more than what I have.
Love,
is more than what you are.
Love,
takes me where I've never been.
Love,
takes me where I am today.
Love,
is what I am with you.



"I Love You"


There is no silence in my heart,
when I'm in love.
There is not tears from my soul,
no longing or hatred --
only passion, love and romance.
When I'm with you,
this is how I am.
I love you.

วันวาเลนไทน์

ประวัติวันวาเลนไทน์

วันวาเลนไทน์นั้นมีมาตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโรมัน ในกรุงโรมสมัยก่อนนั้น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ จะเป็นวันเฉลิมฉลองของจูโน่ซึ่งเป็นราชินีแห่งเหล่าเทพและเทพธิดาของโรมัน ชาวโรมันรู้จักเธอในนามของเทพธิดาแห่ง อิสตรีและการแต่งงาน และในวันถัดมาคือวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ก็จะเป็นวันเริ่มต้นงานเลี้ยงของ Lupercalia การดำเนินชีวิตของเด็กหนุ่มและเด็กสาวในสมัยนั้นจะถูกแยกจากกันอย่างเด็ดขาด แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีประเพณี อย่างนึง ซึ่งเด็กหนุ่มสาวยังสืบทอดต่อกันมา คือ คืนก่อนวันเฉลิมฉลอง Lupercalia นั้นชื่อของเด็กสาวทุกคนจะถูกเขียนลงในเศษกระดาษเล็ก ๆ และจะใส่เอาไว้ในเหยือก เด็กหนุ่มแต่ละคนจะดึงชื่อของเด็กสาวออกจากเหยือก แล้วหลังจากนั้นก็จะจับคู่กันในงานเฉลิมฉลอง บางครั้งการจับคู่นี้ ท้ายที่สุดก็จะจบลงด้วยการที่เด็กหนุ่มและเด็กสาวทั้งสองนั้นได้ตกหลุมรักกันและแต่งงานกันในที่สุด

ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง (Claudius II) นั้น กรุงโรมได้เกิดสงครามหลาย ครั้ง และคลอดิอุสเองก็ประสบกับปัญหาในการที่จะหาทหารจำนวนมากมายมหาศาลมาเข้าร่วมในศึกสงคราม และเขาเชื่อว่าเหตุผลสำคัญก็คือ ผู้ชายโรมันหลายคนไม่ต้องการจากครอบครัวและคนอันเป็นที่รักไป และด้วยเหตุผลนี้เอง ทำให้จักรพรรดิคลอดิอุสประกาศให้ยกเลิกงานแต่งงานและงานหมั้นทั้งหมดในกรุงโรม ถึงกระนั้นก็ตาม ยังมีนักบุญผู้ใจดีคนหนึ่งซึ่งชื่อว่า ท่านนักบุญวาเลนไทน์ ท่านเป็นพระที่กรุงโรมในสมัยของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง ท่านนักบุญวาเลนไทน์และนักบุญมาริอุส ได้จัดตั้งกลุ่มองค์กรเล็ก ๆ เพื่อช่วยเหลือชาวคริสเตียนที่ตกทุกข์ได้ยากเหล่านี้ และได้จัดให้มีการแต่งงานของคู่รักอย่างลับ ๆ ด้วย

และจากการกระทำเหล่านี้เอง ทำให้นักบุญวาเลนไทน์ถูกจับและถูกตัดสินประหารโดยการตัดศีรษะ ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ประมาณปีคริสต์ศักราชที่ 270 ซึ่งถือเป็นวันที่ท่านได้ทนทุกข์ทรมานและเสียสละเพื่อเพื่อนมนุษย์

ตำนานดอกกุหลาบ

กุหลาบ
กุหลาบ
เป็นดอกไม้ที่นิยมปลูกไว้ชื่นชมมาแต่โบราณ ประมาณกันว่ากุหลาบเกิดขึ้นเมื่อกว่า 70 ล้านปีมาแล้ว เคยมีการค้นพบฟอสซิลของกุหลาบใน รัฐโคโลราโด และ รัฐโอเรกอน ประเทศสหรัฐอเมริกา และได้พิสูจน์ว่ากุหลาบป่าเป็นพืชที่มีอายุถึง 40 ล้านปี แต่กุหลาบป่าสมัยโลกล้านปีนี้ มีรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกุหลาบสมัยนี้ เนื่องจากมนุษย์ได้นำเอากุหลาบป่ามาปลูกและผสมพันธุ์ ขยายพันธุ์เป็นพันธุ์ต่างๆ มากมาย
ความจริงแล้วกำเนิดของกุหลาบหรือกุหลาบป่านี้มีเฉพาะในแถบบริเวณเหนือเส้นศูนย์สูตรของโลกเท่านั้น คือกำเนิดในภาคกลางของทวีปเอเชีย แล้วแพร่ขยายพันธุ์ไปตลอดซีกโลกเหนือ ไม่ว่าจะเป็นแถบที่มีอากาศหนาวจัดอย่าง อาร์กติก อลาสก้า ไซบีเรีย หรือแถบอากาศร้อนอย่าง อินเดีย แอฟริกาเหนือ แต่ในบริเวณแถบใต้เส้นศูนย์สูตรอย่างทวีปออสเตรเลีย หรือเกาะต่างๆ ในมหาสมุทรรวมทั้งแอฟริกาใต้ ไม่เคยมีปรากฏว่ามีกุหลาบป่าเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเลย
ตามประวัติศาสตร์เล่าว่า กุหลาบป่าถูกนำมาปลูกไว้ในพระราชวังของจักรพรรด์จีน ในสมัยราชวงศ์ฮั่นราว 5,000 ปีมาแล้ว ขณะที่อียิปต์เองก็ปลูกกุหลาบเป็นไม้ดอก ส่งไปขายให้แก่ชาวโรมัน ชาวโรมันเป็นชาติที่รักดอกกุหลาบมากถึงจะสั่งซื้อจากประเทศอียิปต์แล้ว ยังลงทุนสร้างเนอร์สเซอรี่ขนาดใหญ่สำหรับปลูกดอกกุหลาบอีกด้วย สำหรับชาวโรมันแล้วเรียกได้ว่าดอกกุหลาบมีความสำคัญกับชีวิตประจำวัน เพราะชาวโรมันถือว่าดอกกุหลาบเป็นสัญลักษณ์ของความรัก ซึ่งเป็นทั้งของขวัญ เป็นดอกไม้สำหรับทำเป็นมาลัยต้อนรับแขก เป็นดอกไม้สำหรับงานเฉลิมฉลองต่างๆ ใช้เป็นส่วนประกอบสำหรับทำขนม ทำไวน์ ส่วนน้ำมันกุหลาบยังใช้ทำเป็นยาได้อีกด้วย
กุหลาบถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักและความโรแมนติก ซึ่งมีบางตำนานเล่าว่า ดอกกุหลาบเป็นเสมือนเครื่องหมายแทนการกำเนิดของ เทพธิดาวีนัส ซึ่งเป็นเทพแห่งความงาม และความรัก วีนัสเป็นที่รู้จักกันในชื่อ อโฟรไดท์ ในตำนานเทพของกรีกได้กล่าวไว้ว่า น้ำตาของเธอหยดลงปะปนกับเลือดของ อคอนิส คนรักของเธอที่ถูกหมูป่าฆ่า เลือดและน้ำตาหยดลงสู่พื้นแล้วกลายเป็นดอกไม้สีแดงเข้มหรือดอกกุหลาบนั่นเอง แต่บางตำนานก็เล่าว่าดอกกุหลาบเกิดจากเลือดของ อโฟรไดท์ เองที่หยดลงสู่พื้น เมื่อเธอแทงตัวเองด้วยหนามแหลม
บางตำนานกล่าวว่ากุหลาบเกิดจากการชุมนุมของบรรดาทวยเทพ เพื่อประทานชีวิตใหม่ให้กับนางกินรีนางหนึ่ง ซึ่งเทพธิดาแห่งบุปผาชาติ หรือ คลอริส บังเอิญไปพบนางนอนสิ้นชีพอยู่ ในตำนานนี้กล่าวว่า อโฟรไดท์ เป็นเทพผู้ประทานความงามให้ มีเทพอีกสามองค์ประทานความสดใส เสน่ห์ และความน่าอภิรมย์ และมี เซไฟรัส ซึ่งเป็นลมตะวันตกได้ช่วยพัดกลุ่มเมฆ เพื่อเปิดฟ้าให้กับแสงของเทพ อพอลโล หรือแสงอาทิตย์ส่องลงมาเพื่อประทานพรอมตะ จากนั้น ไดโอนีเซียส เทพเจ้าแห่งเหล้าองุ่นก็ประทานน้ำอมฤต และกลิ่นหอม เมื่อสร้างบุปผาชาติดอกใหม่นี้ขึ้นมาได้แล้ว เทพทั้งหลายก็เรียกดอกไม้ซึ่งมีกลิ่นหอมและทรงเสน่ห์นี้ว่า Rosa จากนั้น เทพธิดาคลอริส ก็รวบรวมหยดน้ำค้างมาประดับเป็นมงกุฎ เพื่อมอบให้ดอกไม้นี้เป็นราชินีแห่งบุปผาชาติทั้งมวล จากนั้นก็ประทานดอกกุหลาบให้กับเทพ อีโรส ซึ่งเป็นเทพแห่งความรัก กุหลาบจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความรัก แล้วเทพ อีโรส ก็ประทานกุหลาบนี้ให้แก่ ฮาร์โพเครติส ซึ่งเป็นเทพแห่งความเงียบ เพื่อที่จะเก็บซ่อนความอ่อนแอของทวยเทพทั้งหลาย ดอกกุหลาบจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความเงียบและความเร้นลับอีกอย่างหนึ่ง
กุหลาบกลายเป็นของขวัญ ของกำนัลสำหรับการแสดงความรัก และมักจะมีผู้เปรียบเทียบความงามของผู้หญิงเป็นเสมือนดอกกุหลาบ และผู้หญิงคนแรกในประวัติศาสตร์โลกที่ได้รับสมญาว่าเป็นผู้หญิงงามเสมือนดอกกุหลาบคือ พระนางคลีโอพัตรา ซึ่งพระนางยังได้เคยต้อนรับ มาร์ค แอนโทนี คนรักของพระนาง ในห้องซึ่งโรยด้วยดอกกุหลาบหนาถึง 18 นิ้ว หอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นกุหลาบ

โรคตาแดง


โรคตาแดง

โรคตาแดงเป็นโรคตาที่พบได้บ่อย เป็นการอักเสบของเยื่อบุตา(conjuntiva)ที่คลุมหนังตาบนและล่างรวมเยื่อบุตาที่คลุมตาขาว โรคตาแดงอาจจะเป็นแบบเฉียบพลัน หรือแบบเรื้อรัง สาเหตุอาจจะเกิดจากเชื้อแบคทีเรีบ ไวรัส Chlamydia trachomatis ภูมิแพ้ หรือสัมผัสสารที่เป็นพิษต่อตา สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส มักจะติดต่อทางมือ ผ้าเช็ดหน้าหรือผ้าเช็ดตัวโดยมากใช้เวลาหาย 2 สัปดาห์ ตาแดงจากโรคภูมิแพ้มักจะเป็นตาแดงเรื้อรัง มีการอักเสบของหนังตา ตาแห้ง การใช้contact lens หรือน้ำยาล้างตาก็เป็นสาเหตุของตาแดงเรื้อรัง

อาการของโรคตาแดง





โรคเบาหวาน


โรคเบาหวานคืออะไร

โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรัง และก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพ ก่อให้เกิดปัญหากับ ฟันและเหงือก ตา ไต หัวใจ หลอดเลือดแดง ท่านผู้อ่านสามารถป้องกันโรคแทรกซ้อนต่างๆได้ โดยการปรับ อาหาร การออกกำลังกาย และยาให้เหมาะสม ท่านผู้อ่านสามารถนำข้อเสนอแนะจากบทความนี้ไปปรึกษากับแพทย์ที่รักษาท่านอยู่ ท่านต้องร่วมมือกับคณะแพทย์ที่ทำการรักษาเพื่อกำหนดเป้าหมายการรักษา บทความนี้เชื่อว่าจะช่วยท่านควบคุมเบาหวานได้ดีขึ้น
อาหารที่รับประทานเข้าไปส่วนใหญ่จะเปลี่ยนจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือดเพื่อใช้เป็นพลังงาน เซลล์ในตับอ่อนชื่อเบต้าเซลล์เป็นตัวสร้างอินซูลิน อินซูลินเป็นตัวนำน้ำตาลกลูโคสเข้าเซลล์เพื่อใช้เป็นพลังงาน โรคเบาหวานเป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ เกิดเนื่องจากการขาดฮอร์โมนอินซูลิน หรือประสิทธิภาพของอินซูลินลดลงเนื่องจากภาวะดื้อต่ออินซูลิน ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอยู่เป็นเวลานานจะเกิดโรคแทรกซ้อนต่ออวัยวะต่างๆ เช่น ตา ไต และระบบประสาท

โรคเอดส์

เอดส์ คืออะไร

เอดส์ หรือ AIDS (Acquired Immune Deficiency Syndrome) เป็นกลุ่มอาการของโรค ที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอดส์ ซึ่งจะเข้าไปทำลายเม็ดเลือกขาว ซึ่งเป็นแหล่งสร้างภูมิคุ้มกันโรค ทำให้ติดเชื้อโรคอื่นๆ ได้ง่ายขึ้น เช่น วัณโรค ปอดบวม เยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือเป็นมะเร็งบางชนิดได้ง่ายกว่าคนปกติ อาการจะรุนแรง และเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิต

เอดส์ ติดต่อกันได้อย่างไร


1. การร่วมเพศ โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย ไม่ว่าชายกับชาย ชายกับหญิง หรือหญิงกับหญิง ทั้งช่องทางธรรมชาติ หรือไม่ธรรมชาติ ก็ล้วนมีโอกาสติดโรคนี้ได้ทั้งสิ้น และปัจจัยที่ทำให้มีโอกาสติดเชื้อมากขึ้น ได้แก่ การมีแผลเปิด และจากข้อมูลของสำนักระบาดวิทยา ประมาณร้อยละ 84 ของผู้ป่วยเอดส์ ได้รับเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์
2. การรับเชื้อทางเลือด
- ใช้เข็มหรือกระบอกฉีดยาร่วมกับผู้ติดเชื้อเอดส์ มักพบในกลุ่มผู้ฉีดยาเสพติด และหากคนกลุ่มนี้ติดเชื้อ ก็สามารถถ่ายทอดเชื้อเอดส์ ทางเพศสัมพันธ์ได้อีกทางหนึ่ง
- รับเลือดในขณะผ่าตัด หรือเพื่อรักษาโรคเลือดบางชนิด ในปัจจุบันเลือดที่ได้รับบริจาคทุกขวด ต้องผ่านการตรวจหาการติดเชื้อเอดส์ และจะปลอดภัยเกือบ 100%
3. ทารก ติดเชื้อจากแม่ที่ติดเชื้อเอดส์ การแพร่เชื้อจากแม่สู่ลูก ผู้หญิงที่ติดเชื้อเอดส์ หากตั้งครรภ์ และไม่ได้รับการดูแลอย่างดี เชื้อเอช ไอ วี จะแพร่ไปยังลูกได้ ในอัตราร้อยละ 30 จากกรณีเกิดจากแม่ติดเชื้อ จึงมีโอกาสที่จะรับเชื้อเอช ไอ วี จากแม่ได้


วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2553

วันจันทร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2553

ประโยชน์จากไปรษณีย์อิเลคทรอนิกส์

ประโยชน์จากไปรษณีย์อิเลคทรอนิกส์

ประโยชน์จากไปรษณีย์อิเลคทรอนิคส์มีประโยชน์มากมาย เช่น E-mail นอกจากจะใช้สำหรับเป็นจดหมายอิเลคทรอนิกส์แล้ว เรายังสามารถใช้ในด้านการทำธุรกรรมต่างๆ เช่น การสมัครเพื่อขอใช้บริการพื้นที่ฟรี พื้นที่นี้ทำงานได้ทุกอย่างเช่นเดียวกับแฮนดี้ไดร์และประโยชน์ของการตกแต่งเว็บไซต์ให้สวยงามด้วยการใช้ภาพและลูกเล่นของเอฟเฟคที่เกิดจากการแสดงของภาพ เพียงแค่เรามี E-mail เราก็สามารถจัดการให้เว็บของเราสวยแบบมืออาชีพได้ โดยการเข้าเว็บไวต์ www.picturetrail.com และเราก็สามารถตกแต่งภาพของเราให้สวยได้เช่นกัน เมื่อเราทำเสร็จแล้ว เราก็สามารถนำไปลงเว็บบล็อกหรือในเว็บไซต์ได้ นี่ก็คือประโยชน์จากไปรษณีอิเลคทรอนิกส์