วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

จงฉลาดพอที่จะอ่าน

จงฉลาดพอที่จะอ่าน

จง...เข้มแข็งพอที่จะเผชิญหน้ากับความจริง
จง...อ่อนแอพอที่จะรับรู้ว่าลำพังเรานั้นทำอะไรไม่ได้ทุกอย่าง
จง...ฟุ่มเฟือยน้ำใจเมื่อมีใครต้องการความช่วยเหลือ
จง...คิดก่อนทุกครั้งที่จะปล่อยเงินออกจากมือ
จง...ฉลาดพอที่จะรู้ว่าเราไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
จง...โง่พอที่จะเชื่อในปาฏิหาริย์
จง...เต็มใจจะแบ่งปันความสุขของตนเอง
จง...เต็มใจที่จะรับความทุกข์ของคนอื่น
จง...เป็นผู้นำหากทางที่ผู้อื่นทิ้งไว้นั้นเลือนราง
จง...เป็นผู้ตามหากตกอยู่ในวงล้อมแห่งความไม่แน่นอน
จง...เป็นคนแรกที่แสดงความยินดีต่อความสำเร็จของคู่แข่ง
จง...เป็นคนสุดท้ายที่จะวิจารณ์ความผิดพลาดของเพื่อน
จง...มองเพียงแค่ก้าวถัดไปเพราะมันจะทำให้เราไม่ล้ม
จง...มองไปยังจุดหมายปลายทางให้แน่ใจว่าไม่ได้กำลังเดินผิดทาง
จง...ใช้เวลามองหรือให้โอกาสกับตัวองที่จะเรียนรู้คนที่เขาบอกรักคุณ
จง...รักคนที่รักคุณแม้อีก 5 ปี 10 ปี หรือ 50 ปี เขาก็ยังรักคุณ
จง...รักคนที่ไม่รักคุณแล้ว...สักวันหนึ่งเค้าอาจเปลี่ยนใจมารักคุณ
จง...อย่าปล่อยให้คนที่คุณรักหลุดลอยไป









ในนามของกาลเวลา

เรา...ผู้เป็นผลผลิตของกาลเวลาเป็น กิ่ง ก้าน ใบ ของฤดูกาล
เรา...ผู้เป็นส่วนหนึ่งของกาลเวลา เป็นผู้บริโภคฤดูกาล
เรา...ผู้เป็นผู้ใช้และผู้ทำลาย วัน เวลา ฤดูกาล และธรรมชาติ
เรา...ผู้ที่ถูกสร้างให้มีความรักต่อสรรพสิ่งให้เป็นนายเหนือธรรมชาติ
แดดร้อน สายฝน ลมหนาว กลางวัน กลางคืน ที่หมุนเวียนไปนั้นมีบทสอน
มีความรักของพระเจ้าสอนเราเสมอ เราเรียนรู้และใส่ใจต่อสิ่งเหล่านั้นหรือไม่...
อย่าปล่อยให้คืนวันผันผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์
อย่าปล่อยให้วันเวลาผ่านไปพร้อมกับความทุกข์
อย่าให้ชีวิตหมดไปกับการแสวงหาวัตถุภายนอก
โดยปล่อยจิตใจ จิตวิญญาณ ถูกพันธนาการด้วยกิเลส
อย่าผ่านเข้าไปในกลางคืนด้วยความสับสนและเต็มไปด้วยความแค้นเคือง
อย่าให้เข้าวันใหม่เป็นวันที่โหดร้ายเกินไปในวิถีชีวิต...
ในนามของวันเวลา โมงยามเป็นเพียงสิ่งสมมติ แต่คืนวันนั้นเที่ยงแท้

หากยังมีลมหายใจ จงมีรักอยู่ในใจ
มีรักเสมอ รักต่อกัน รักนั้นจะคงอยู่
แม้สิ้นลมหายใจ

วันเวลามีไว้ให้เราพัฒนาความรัก
วันเวลามีไว้ให้เราพัฒนาคุณค่าของชีวิต
วันเวลามีไว้สำหรับทุกคน
เราใช้วันเวลาคุ้มค่าแล้วหรือ...

ความรู้ที่อาจยังไม่รู้
รู้รอบตัวมากมาย แต่ไม่รู้ดีรู้ชั่ว
รู้เว้นงู เว้นเสือ เว้นมีด เว้นปืน แต่ไม่รู้เว้นอบายมุข
รู้ภาษาต่างประเทศ แต่ไม่รู้คุณค่าภาษาไทย
รู้ตอบคำถาม แต่ไม่รู้ตอบแทนแผ่นดิน
รู้ที่กิน ที่เที่ยว แต่ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง
รู้วัน เดือน ปีเกิด แต่ไม่รู้กาลเทศะ
รู้พยากรณ์อากาศ แต่ไม่รู้ว่า...ชีวิตมีขึ้นมีลง
รู้จักรวารวิทยา นภากาศ แต่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ
รู้จักคนมากมายหลายวงการ แต่ไม่รู้จักตนเอง
รู้จักบริหารคน บริหารงาน แต่ไม่รูจักวิธีบริหารใจ
รู้จักวิธีหาเงินมากมาย แต่ไม่รู้จักวิธีบริหารเงิน
รู้จักสร้างตึกสูงนับร้อยชั้น แต่ไม่รู้วิธีฝึกใจให้สูง
รู้จักโกรธ แต่ไม่รู้จักให้อภัย
รู้จักกติกามารยาท แต่ไม่รู้จักกฎแห่งกรรม
รู้จักสวมนาฬิกาแพงๆ แต่ไม่รู้จักคุณค่าของเวลา
รู้จักการเข้าสังคม แต่ไม่รู้จักการเข้าหาสังฆะ
รู้เรียนเอาปริญญาสูงๆ แต่ไม่รู้จักยกพฤติกรรมให้สูง
รู้ที่จะมีลูก แต่ไม่รู้จักเลี้ยงลูก
รู้ที่จะรัก แต่ไม่รู้จักรับผิดชอบ
รู้ที่จะดู แต่ไม่รู้ที่จักเห็น
รู้ที่จะนับถือ แต่ไม่รู้ที่จะนับถืออย่างไร
รู้ที่จะพูด แต่ไม่รู้จักศิลปะการพูด
รู้คุณของเงินทอง แต่ไม่รู้คุณพ่อคุณแม่






...ไม่สำคัญ...

ไม่สำคัญว่า...คุณขับรถยี่ห้ออะไร
ไม่สำคัญว่า...คุณทำงานล่วงเวลามามากขนาดไหน
สำคัญว่า...คุณให้เวลาแก่ครอบครัวมากขนาดไหน
ไม่สำคัญว่า...คุณมีเสื้อผ้าทันสมัยกี่ชุดในตู้
สำคัญว่า...คุณเคยให้เสื้อผ้าแก่คนที่ ขาดแคลน ใส่กี่ชุด
ไม่สำคัญว่า...คุณมีฐานะอะไรในสังคม
สำคัญว่า...คุณวางตัวในระดับไหน
ไม่สำคัญว่า...คุณมีทรัพย์มากเท่าไหร่
สำคัญว่า...สิ่งที่คุณมีมันมีอำนาจชี้ขาดชีวิตคุณแค่ไหน
ไม่สำคัญว่า...เงินเดือนสูงสุดของคุณเท่าไหร่
สำคัญว่า...คุณต้องสละอุดมการณ์เพื่อได้มันมาหรือไม่
ไม่สำคัญว่า...คุณได้เลื่อนขั้นกี่ขั้นแล้ว
สำคัญว่า...คุณเคยสนับสนุนใครให้ได้เลื่อนชั้นบ้าง
ไม่สำคัญว่า...คุณมีตำแหน่งการงานอะไร
สำคัญว่า...คุณทำงานสุดความสามารถหรือไม่
ไม่สำคัญว่า...คุณมีเพื่อนกี่คน
สำคัญว่า...คุณเป็นเพื่อนแท้กับใครบ้าง
ไม่สำคัญว่า...คุณเรียกร้องปกป้องสิทธิของตัวเองอย่างไร
สำคัญว่า...คุณทำอะไรเพื่อช่วยและปกป้องสิทธิคนอื่น


ไม่สำคัญว่า...คุณกำลังอ่านข้อความเหล่านี้อยู่หรือไม่
สำคัญว่า...เมื่อคุณอ่านมันจบคุณจะปฏิบัติอย่างไร...





อุ้มรัก

อุ่นใดเล่าอุ่นนักอุ่นรักเจ้า
อุ่นที่เฝ้าดูแลและถนอม
อุ่นสายใยผูกพันทุกวันยอม
อุ่นในอ้อมกอดรักฟูมฟักรอ

ให้เจ้าได้เติบใหญ่ในครรภ์น้อย
เก้าเดือนคอยหัวใจไม่เคยท้อ
เก็บความรักความหวังพลังพอ
เพียงแค่ขอให้เจ้าเฝ้าเติบโต

จะเก็บเกี่ยวความฝันทุกวันไว้
เจ้าเติบใหญ่รายล้อมพร้อมสุขโข
ให้สมบูรณ์แข็งแรงแกร่งกล้าโชว์
เป็นสายโซ่เกี่ยวรัดผูกมัดใจ

ให้เจ้าเป็นเด็กดีปรีดานัก
รักทอถักยืนยงอสงไขย
เป็นความหวังของพ่อแม่ต่อไป
อิ่มอุ่นใดอุ่นเท่ารักเจ้าเอย...










ความหมายชีวิต

เพียงแค่หวังนั้นยังไม่พอ
อาจต้องรอยาวนานกว่านั้น
เหนื่อยเพียงไหน ท้อเพียงใด
ฟันฝ่าไปในสักวัน
จุดหมายที่หวังคงจะเป็นจริง

ทุกคนมีความฝันเป็นของตัวเอง แต่ความฝันของเราจะเป็นความฝันที่ลมๆแล้งๆหรือเปล่าก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง ความฝันนั้นเป็นสิ่งที่ดีเพียงแต่เราจะกล้าทำให้สำเร็จตามที่เราฝันไว้หรือเปล่าจะกล้าทำให้ความฝันของเราเป็นจริงหรือเปล่า ถึงแม้ว่ากว่าจะไปถึงวันนั้นจะต้องฝ่าฝันอุปสรรคมามากมายเท่าใดอาจจะมีท้อบ้างแต่ขอให้เราอย่ายอมแพ้......................

อนาคต จะเป็นเช่นไร ในชีวิตเรา
จะโศกเศร้า หรือสุขสำราญ เบิกบานเพียงไหน
อาจสุขสม หรือทุกข์ระทม ขื่นขมเพียงใด
หนทางใหม่ จะเป็นอย่างไร เราไม่เคยเดิน

แน่นอนอนาคตของเราจะเป็นอย่างไรเรายังไม่รู้ จะดีหรือเลวร้ายเราก็ยังไม่รู้ จะมีความสุขเบิกบานใจหรือมีความทุกข์โศกเศร้าเสียใจเราก็ยังไม่รู้ แต่ที่เรารู้คือ ปัจจุบัน สิ่งที่เราทำอยู่สิ่งที่เราเป็นอยู่ตอนนี้เราต้องทำให้ดีที่สุด ถึงแม้ว่ามันจะมีอุปสรรคที่จะทำให้เราท้อถอยแต่เราอย่ากลัว
(อุปสรรคมิได้มีไว้เพื่อให้ทุกข์ แต่มีไว้เพื่อให้ก้าวข้าม) อุปสรรคแต่ละครั้งเปรียบเสมือนบันไดแต่ละขั้นที่ทำให้เราก้าวสูงขึ้นเรื่อยๆ ประสบการณ์แห่งความยากลำบากแต่ละครั้งเป็นเหมือนแบบฝึกหัดแต่ละบทที่ช่วยพัฒนาให้ชีวิตของเราแข็งแกร่งขึ้น...........................
( คนที่แกร่งและสู้ชีวิตเท่านั้นที่จะพบความสำเร็จอันงดงามที่รออยู่เบื้องหน้า...)


บทนิยามของความรัก


ความรักคืออะไร.......... ความรักเกิดขึ้นได้อย่างไร.......... และความรักเกิดมาจากสิ่งใด..........

ความรักเป็นสิ่งที่สวยงามแต่อย่างไรก็ตามความรักก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียขึ้นอยู่กับเราว่าเราจะใช้อย่างไร( ใช่เปล่าววววว...) คนที่รักกันย่อมทำเพื่อกันได้ทุกอย่างแม้กระทั่งชีวิตของตนเอง( ใช่ป่ะ)
ความรัก คือ การให้และไม่หวังสิ่งตอบแทน ความรักย่อมอดทน ความรักต้องมีใจเอื้อเฟื้อ ความรักไม่อิจฉา ความรักไม่โอ้อวดตนเอง ความรักไม่จองหอง ความรักไม่หยาบคาย ความรักไม่เห็นแก่ตัว ความรักไม่ฉุนเฉียว ความรักไม่จดจำความผิดที่ได้รับมา ความรักให้อภัยทุกอย่าง ความรักเชื่อทุกอย่าง ความรักหวังทุกอย่าง ความรักไม่มีวันสิ้นสุด...............................











เพื่อนแท้....

เพื่อนทั่วไปไม่เคยเห็นคุณร้องไห้
.......เพื่อนแท้มีหัวไหล่ไว้ซับน้ำตาคุณ
เพื่อนทั่วไปจะไม่รู้ชื่อพ่อแม่ของคุณ
.......เพื่อนแท้จะมีเบอร์ของคุณในสมุดจดโทรศัพท์ของเขา
เพื่อนทั่วไปจะถือขวดไวน์มางานปาร์ตี้ของคุณ
.......เพื่อนแท้จะมาแต่วันเพื่อช่วยเตรียมงาน
เพื่อนทั่วไปอยากคุยกับคุณถึงปัญหาของเขา
.......เพื่อนแท้อยากช่วยปัดเป่าปัญหาของคุณออกไป
เพื่อนทั่วไปจะพิศวงในเรื่องโรแมนติกเก่าๆ
......เพื่อนแท้สามารถเอาเรื่องนี้มาอำคุณได้
เพื่อนทั่วไปเวลามาเยี่ยมคุณทำตัวเยี่ยงแขก
.......เพื่อนแท้จะตรงรี่ไปเปิดตู้เย็นและบริการตนเอง
เพื่อนทั่วไปคิดว่ามิตรภาพจบลงเมื่อเกิดการทะเลาะถกเถียง
........เพื่อนแท้รู้ว่านั่นมิใช่มิตรภาพจนกว่าคุณได้เคยวิวาทกัน
เพื่อนทั่วไปคาดหวังให้คุ๕อยู่เคียงข้างเขาเสมอ
........เพื่อนแท้คาดหวังที่จะอยู่เคียงข้างคุณตลอดไป
เพื่อนทั่วไปจะอ่านข้อความนี้แล้วโยนลงถังขยะ
........เพื่อนแท้จะเฝ้าส่งต่อๆไปจนมั่นใจว่ามันได้ถึงมือผู้รับ








สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต

ศัตรูที่หน้าสะพรึงกลัวที่สุดในชีวิตเรา คือ ตัวเราเอง

ความล้มเหลวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเรา คือ ความอวดดี

การกระทำที่โง่เขลาที่สุดในชีวิตเรา คือ การหลอกลวง

สิ่งที่แสนสาหัสที่สุดในชีวิตเรา คือ ความอิจฉาริษยา

ความผิดพลาดมหันต์ที่สุดในชีวิตเรา คือ การยอมแพ้ตนเอง

สิ่งที่เป็นอกุศลที่สุดในชีวิตของเรา คือ การหลอกตัวเอง

สิ่งที่หน้าสังเวชที่สุดในชีวิตเรา คือ การดูถูกตัวเอง

สิ่งที่น่าสรรเสริญที่สุดในชีวิตเรา คือ ความอุตสาหะวิริยะ

ความล้มละลายที่สุดในชีวิตเรา คือ ความสิ้นหวัง

ทรัพย์สมบัติที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตเรา คือ สุขภาพที่สมบูรณ์

หนี้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเรา คือ หนี้บุญคุณ

ของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเรา คือ การให้อภัยและความ
เมตตา

ข้อบกพร่องที่ใหญ่หลวงที่สุดในชีวิตเรา คือการทำตามใจแบบไร้เหตุผล
สิ่งที่ทำให้อิ่มอกอิ่มใจมากที่สุด คือ การให้ทาน
มองในมุมต่างๆ

ความทุกข์ มีไว้เป็นแบบทดสอบความแข็งแกร่งของ ชีวิต
ความเศร้า หนทางแสดงออกของความทุกข์
ความเหงา เป็นเพื่อนที่ดีสำหรับการเรียนรู้ตนเอง
ความสุข มิให้เก็บเกี่ยวได้เสมอตลอดเวลา แม้กระทั่งในเวลาแห่งทุกข์
ความจริง เป็นสิ่งที่คนใช้กันน้อย....และมักมองผ่าน
ความลวง สิ่งที่หน้าเกลียดที่สุด....แต่คนชอบใช้
ความรัก คือสิ่งที่ดีและสวยงามที่สุดในโลก
มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ แต่รู้สึกได้ ด้วยหัวใจ

วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2552

อาหารจานด่วน

อาหารจานด่วน

อาหารจานด่วน
หรือ ฟาสต์ฟูด เป็นคำจำกัดความของอาหารที่สามารถเตรียมและปรุงได้อย่างรวดเร็วมาก ขณะที่อาหารมื้อใดๆ ก็ตามที่ใช้เวลาในการเตรียมและปรุงสั้นก็อาจจัดว่าเป็นอาหารจานด่วน แต่ความจริงแล้วมักหมายความถึงเฉพาะอาหารที่ขายในร้านอาหารที่ใช้วัตถุดิบคุณภาพต่ำ และให้บริการแก่ลูกค้าในรูปหีบห่อที่สามารถนำออกไปรับประทานข้างนอกได้

วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2552

สารเสพติด

สารเสพติด

ตอนนี้ประทศไทยอยู่ในช่วงที่สารเสพติดระบาดมากๆฉันจึงอยากให้เพื่อนๆมาทำความรูจักกับสารพวกนี้กันนะคะ

ยาเสพติด หมายถึง สารหรือยาที่อาจเป็นผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ หรือจากการสังเคราะห์ ซึ่งเมื่อเสพเข้าสู่ร่างกายไม่ว่าจะโดย การกิน ดม สูบ ฉีด หรือ ด้วยประการใด ๆ แล้วจะทำให้เกิดผล ต่อร่างกายและจิตใจในลักษณะสำคัญ เช่น - ต้องเพิ่มขนาดการเสพขึ้นเรื่อยๆ - มีอาการอยากยาเมื่อขาดยา - มีความต้องการเสพทั้งร่างกายและจิตใจอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง - สุขภาพโดยทั่วไปจะทรุดโทรมลง
๒. ประเภทของยาเสพติด ยาเสพติด แบ่งได้หลายรูปแบบ ตามลักษณะต่าง ๆ ดังนี้ ๑. แบ่งตามแหล่งที่เกิด ซึ่งจะแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ ๑.๑ ยาเสพติดธรรมชาติ (Natural Drugs) คือยาเสพติดที่ผลิตมาจากพืช เช่น ฝิ่น กระท่อม กัญชา เป็นต้น
๒. แบ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.๒๕๒๒ ซึ่งจะแบ่งออกเป็น ๕ ประเภท คือ ๒.๑ ยาเสพติดให้โทษ ประเภทที่ ๑ ได้แก่ เฮโรอีน แอลเอสดี แอมเฟตามีน หรือยาบ้า ยาอีหรือยาเลิฟ ๒.๒ ยาเสพติดให้โทษ ประเภทที่ ๒ ยาเสพติดประเภทนี้สามารถนำมาใช้เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ได้ แต่ต้องใช้ภายใต้การควบคุมของแพทย์ และใช้เฉพาะกรณีที่จำเป็นเท่านั้น ได้แก่ ฝิ่น มอร์ฟีน โคเคน หรือโคคาอีน โคเคอีน และเมทาโดน ๒.๓ ยาเสพติดให้โทษ ประเภทที่ ๓ ยาเสพติดประเภทนี้เป็นยาเสพติดให้โทษที่มียาเสพติดประเภทที่ ๒ ผสมอยู่ด้วย มีประโยชน์ทางการแพทย์ การนำไปใช้เพื่อจุดประสงค์อื่น หรือเพื่อเสพติด จะมีบทลงโทษกำกับไว้ ยาเสพติดประเภทนี้ ได้แก่ ยาแก้ไอ ที่มีตัวยาโคเคอีน ยาแก้ท้องเสีย ที่มีฝิ่นผสมอยู่ด้วย ยาฉีดระงับปวดต่าง ๆ เช่น มอร์ฟีน เพทิดีน ซึ่งสกัดมาจากฝิ่น ๒.๔ ยาเสพติดให้โทษ ประเภทที่ ๔ คือสารเคมีที่ใช้ในการผลิตยาเสพติดให้โทษ ประเภทที่ ๑ หรือประเภทที่ ๒ ยาเสพติดประเภทนี้ไม่มีการนำมาใช้ประโยชน์ในการบำบัดโรคแต่อย่างใด และมีบทลงโทษกำกับไว้ด้วย ได้แก่น้ำยาอะเซติคแอนไฮไดรย์ และ อะเซติลคลอไรด์ ซึ่งใช้ในการเปลี่ยนมอร์ฟีนเป็นเฮโรอีน สารคลอซูไดอีเฟครีน สามารถใช้ในการผลิตยาบ้าได้ และวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทอีก ๑๒ ชนิด ที่สามารถนำมาผลิตยาอีและยาบ้าได้ ๒.๕ ยาเสพติดให้โทษประเภทที่ ๕ เป็นยาเสพติดให้โทษที่มิได้เข้าข่ายอยู่ในยาเสพติดประเภทที่ ๑ ถึง ๔ ได้แก่ ทุกส่วนของพืชกัญชา ทุกส่วนของพืชกระท่อม เห็ดขี้ควาย เป็นต้น

วิตามินซี

วิตามินซี

เพื่อนๆลองมารูจักกับวิตามินซีกัน แนมีมาให้ดู
วิตามินซีหรือ กรดแอสคอร์บิค (Ascorbic acid) เป็นสารอาหารที่ละลายได้ในน้ำ ร่างกายไม่สามารถที่จะสร้างขึ้นเองได้ จึงจำเป็นต้องได้รับจากการรับประทานเข้าไป วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ช่วยเพิ่มภูมิชีวิตได้เป็นอย่างดี เพราะสามารถป้องกันและรักษาการอักเสบอันเนื่องมาจากแบคทีเรียและไวรัสได้
[แก้] ประโยชน์
เป็นตัวสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นเส้นใยทำหน้าที่เชื่อมเนื้อเยื่อต่างๆ ไว้ด้วยกัน ทั้งยังเป็นตัวสร้างกระดูก ฟัน เหงือก และเส้นเลือด
ช่วยให้แผลสดและแผลไฟไหม้หายเร็วขึ้น
ช่วยให้การดูดซึมธาตุเหล็กดีขึ้น ซึ่งเป็นการสร้างเม็ดเลือดทางอ้อม
ช่วยป้องกันการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ (Mutation)
ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคนอนหลับตายในกรณีเด็กอ่อน (SIDS: Sudden Infant Death Syndrome)
ช่วยแก้โรคเลือดออกตามไรฟัน
ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด
ช่วยคลายเครียด
การฉีดด้วยวิตามินซีปริมาณสูง อาจช่วยหยุดยั้งโรคมะเร็งได้ โดยวิตามินอาจเข้าทำปฏิกิริยาทางเคมีในเซลล์ มะเร็ง ให้กลายเป็นกรดขึ้น ทำให้เนื้อร้ายชะงักและน้ำหนักลดไปได้
แหล่งวิตามินซี
แหล่งวิตามินซีมีมากในผักตระกูลกะหล่ำ การเก็บเกี่ยวผักผลไม้ตั้งแต่ยังไม่แก่จัด ไม่สุกดี หรือนำไปผ่านการแปรรูป ไม่ว่าจะเป็นการตากแห้ง หมักดอง จะทำลายวิตามินซีที่อยู่ในอาหารไปในปริมาณมาก
ความร้อนทำลายวิตามินซีได้ง่ายจึงไม่ควรต้มหรือผัดนานเกินไป แต่การแช่เย็นไม่ได้ทำให้ผักผลไม้สูญเสียวิตามินซีเพียงข้อเสียอยู่ตรงที่เมื่อนำออกมาวางในอุณหภูมิปกติแล้ว ออกซิเจนในอากาศจะทำให้วิตามินซีสลายตัวเร็ว
บางข้อมูลแนะนำว่าขนาดที่เหมาะสมมากที่สุดต่อวัน สำหรับผู้ใหญ่ คือ 250-500 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง
แหล่งวิตามินในธรรมชาติจำนวน
ปริมาณสารอาหารที่ได้รับ
ฝรั่งน้ำหนัก 100 กรัม230 มิลลิกรัม
สับปะรด1 ชิ้นใหญ่(โดยเฉลี่ย)20-30 มิลลิกรัม
กะหล่ำดอกน้ำหนัก 100 กรัม49 มิลลิกรัม
บรอกโคลีน้ำหนัก 100 กรัม84 มิลลิกรัม
น้ำมะนาว1 แก้ว(100 กรัม)34 มิลลิกรัม
มันฝรั่งน้ำหนัก 100 กรัม1.3 มิลลิกรัม
กะหล่ำปลีน้ำหนัก 100 กรัม49 มิลลิกรัม
กล้วยชนิดต่างๆ1 ลูก(โดยเฉลี่ย)8.5 มิลลิกรัม
พริกหวาน1 เม็ด(โดยเฉลี่ย)100-120 มิลลิกรัม
ผักโขมน้ำหนัก 100 กรัม76.5 มิลลิกรัม
สตรอว์เบอร์รี่น้ำหนัก 100 กรัม77 มิลลิกรัม
มะเขือเทศน้ำหนัก 100 กรัม21.3 มิลลิกรัม
มะละกอน้ำหนัก 100 กรัม60 มิลลิกรัม

มลพิษทางอากาศ

มลพิษทางอากาศ

โลกของเรามีชั้นของบรรยากาศห่อหุ้มอยู่โดยรอบหนาประมาณ 15 กิโลเมตร ชั้นของบรรยากาศดังกล่าวนี้ประกอบด้วย ก๊าซไนโตรเจน ออกซิเจน ฝุ่นละอองไอน้ำ และเชื้อจุลินทรีย์ต่าง ๆ ในจำนวนก๊าซเหล่านี้ ก๊าซที่สำคัญที่สุดต่อการดำรงอยู่ของ สิ่งมีชีวิตในโลก คือ ก๊าซออกซิเจนและชั้นของบรรยากาศที่มีก๊าซออกซิเจนเพียงพอ ต่อการดำรงชีวิตมีความหนาเพียง 5 - 6 กิโลเมตรเท่านั้น ซึ่งปกติจะมีส่วนประกอบ ของ
ในโลกเราปัจจุบันนี้มลพิษเยอะมากๆๆ.....แนจึงอยากให้ทุกๆๆท่านทำความเข้าใจบมัน
มารูจักไว้นคะเพื่อเป็นความรู้

ก๊าซต่าง ๆ ค่อนข้างคงที่ คือ ก๊าซไนโตรเจน 78.09% ก๊าซออกซิเจน 20.94% ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเฉื่อย 0.97%ในปริมาณคงที่ของก๊าซดังกล่าวนี้ เราถือ ว่าเป็นอากาศบริสุทธิ์แต่เมื่อใดก็ตามที่ส่วนประกอบของอากาศเปลี่ยนแปลงไปมีปริมาณ ของฝุ่นละออง ก๊าซ กลิ่น หมอกควัน ไอ ไอน้ำ เขม่าและกัมมันตภาพรังสีอยู่ในบรรยา กาศมากเกินไป เราเรียกสภาวะดังกล่าวว่า “อากาศเสีย” หรือ “มลพิษทางอากาศ”
ความหมาย ของ มลพิษทางอากาศ
มลพิษทางอากาศ หมายถึง ภาวะอากาศที่มีสารเจือปนอยู่ในปริมาณที่สูงกว่าระดับปกติเป็นเวลา นานพอที่จะทำให้เกิดอันตรายแก่มนุษย์ สัตว์ พืช หรือทรัพย์สินต่าง ๆ อาจเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น ฝุ่นละอองจากลมพายุ ภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินไหว ไฟไหม้ป่า ก๊าซธรรมชาติอากาศเสียที่เกิดขึ้น โดยธรรมชาติเป็นอันตรายต่อมนุษย์น้อยมาก เพราะแหล่งกำเนิดอยู่ไกลและปริมาณที่เข้าสู่สภาพ แวดล้อมของมนุษย์และสัตว์มีน้อย กรณีที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ ได้แก่ มลพิษจากท่อไอเสีย ของรถยนต์จากโรงงานอุตสาหกรรมจากขบวนการผลิตจากกิจกรรมด้านการเกษตรจากการระเหย ของก๊าซบางชนิด ซึ่งเกิดจากขยะมูลฝอยและของเสีย เป็นต้น

ช็อกโกแล็ต

ใครๆที่ชอบทานช๊อกโลตเหมือนฉันก็ควรอ่านนะคะว่า...ช๊อกโกแลตที่เรากินอยู่นั้น..มันเป็นอย่างไร..


ช็อกโกแลต หรือ ช็อกโกเลต (Chocolate) คือผลิตผลที่ได้มาจากเมล็ดของต้นโกโก้เขตร้อน ช็อกโกแลตเป็นส่วนผสมของของหวานหลายชนิดไม่ว่าจะเป็นไอศกรีม ลูกอม คุกกี้ เค้ก หรือว่าพาย ช็อกโกแลตถือได้ว่าเป็นของหวานอย่างหนึ่งที่ถูกใจคนทั่วโลก
ช็อกโกแลตทำจากการหมัก คั่ว และบดอย่างละเอียดของเมล็ดโกโก้ซึ่งได้มาจากต้นโกโก้เขตร้อน (tropical cacao tree) ซึ่งมีต้นกำเนิดจากอเมริกากลางและเม็กซิโก ต้นโกโก้นั้นถูกค้นพบโดยชาวอินเดียนแดงและชาวอัซเตก (Aztecs) แต่ในปัจจุบันได้แพร่กระจายและปลูกไปทั่วเขตร้อน เมล็ดของต้นโกโก้นั้นมีรสฝาดที่เข้มข้นมาก ผลผลิตของเมล็ดโกโก้รู้จักกันในนาม "ช็อกโกแลต" หรือบางส่วนของโลกในนาม "โกโก้"
ผลิตภัณฑ์จากเมล็ดโกโก้รู้จักภายใต้หลายชื่อแตกต่างกันไปในส่วนต่าง ๆ ของโลก ในอเมริกา อุตสาหกรรมช็อกโกแลตได้จำกัดความไว้ว่า
โกโก้ (cocoa) คือเมล็ดของต้นโกโก้
เนยโกโก้ (cocoa butter) คือไขมันของเมล็ดโกโก้
ช็อกโกแลต (chocolate) คือส่วนผสมระหว่างเมล็ดของต้นโกโก้และเนยโกโก้
ช็อกโกแลตคือส่วนผสมระหว่างเมล็ดของฝักถั่วโกโก้และเนยโกโก้ ซึ่งได้ผสมน้ำตาลและส่วนผสมอื่น ๆ และถูกทำให้อยู่ในรูปของแท่งและรูปอื่น ๆ
เมล็ดของต้นโกโก้นอกจากทำเป็นช็อกโกแลตได้แล้วยังสามารถทำเป็นเครื่องดื่มได้ด้วย เช่น ช็อกโกแลตร้อน เครื่องดื่มช็อกโกแลตนั้นได้ถูกคิดค้นขึ้นโดยชาวอัซเตก (Aztecs) หลังจากนั้นโดยชนเผ่าอินเดียนแดงและชาวยุโรป
บ่อยครั้งที่ช็อกโกแลตมักจะถูกทำให้อยู่ในรูปของสัตว์ต่าง ๆ คน หรือวัตถุในจินตนาการ เพื่อร่วมในงานเฉลิมฉลองต่าง ๆ ทั่วโลก เช่น รูปกระต่าย รูปทรงไข่ในเทศกาลอีสเตอร์ รูปของเหรียญหรือซานตาคลอสในเทศกาลคริสต์มาส และรูปทรงหัวใจในเทศกาลวาเลนไทน์

ชีวิตกับความพอเพียง

ชีวิตกับความพอเพียง

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเข้าพระราชหฤทัยในความเป็นไปของเมืองไทยและคนไทยอย่างลึกซึ้งและกว้างไกล ได้ทรงวางรากฐานในการพัฒนาชนบท และช่วยเหลือประชาชนให้สามารถพึ่งตนเองได้มีความ " พออยู่พอกิน" และมีความอิสระที่จะอยู่ได้โดยไม่ต้องติดยึดอยู่กับเทคโนโลยีและความเปลี่ยนแปลงของกระแสโลกาภิวัฒน์ ทรงวิเคราะห์ว่าหากประชาชนพึ่งตนเองได้แล้วก็จะมีส่วนช่วยเหลือเสริมสร้างประเทศชาติโดยส่วนรวมได้ในที่สุด พระราชดำรัสที่สะท้อนถึงพระวิสัยทัศน์ในการสร้างความเข้มแข็งในตนเองของประชาชนและสามารถทำมาหากินให้พออยู่พอกินได้ ดังนี้
"….ในการสร้างถนน สร้างชลประทานให้ประชาชนใช้นั้น จะต้องช่วยประชาชนในทางบุคคลหรือพัฒนาให้บุคคลมีความรู้และอนามัยแข็งแรง ด้วยการให้การศึกษาและการรักษาอนามัย เพื่อให้ประชาชนในท้องที่สามารถทำการเกษตรได้ และค้าขายได้…"
ในสภาวการณ์ปัจจุบัน ซึ่งเกิดความถดถอยทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงขึ้นนี้จึงทำให้เกิดความเข้าใจได้ชัดเจนในแนวพระราชดำริของ "เศรษฐกิจพอเพียง" ซึ่งได้ทรงคิดและตระหนักมาช้านาน เพราะหากเราไม่ไปพี่งพา ยึดติดอยู่กับกระแสจากภายนอกมากเกินไป จนได้ครอบงำความคิดในลักษณะดั้งเดิมแบบไทยๆไปหมด มีแต่ความทะเยอทะยานบนรากฐานที่ไม่มั่นคงเหมือนลักษณะฟองสบู่ วิกฤตเศรษฐกิจเช่นนี้อาจไม่เกิดขึ้น หรือไม่หนักหนาสาหัสจนเกิดความเดือดร้อนกันถ้วนทั่วเช่นนี้ ดังนั้น "เศรษฐกิจพอเพียง" จึงได้สื่อความหมาย ความสำคัญในฐานะเป็นหลักการสังคมที่พึงยึดถือ
ในทางปฏิบัติจุดเริ่มต้นของการพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงคือ การฟื้นฟูเศรษฐกิจชุมชนท้องถิ่น เศรษฐกิจพอเพียงเป็นทั้งหลักการและกระบวนการทางสังคม ตั้งแต่ขั้นฟื้นฟูและขยายเครือข่ายเกษตรกรรมยั่งยืน เป็นการพัฒนาขีดความสามารถในการผลิตและบริโภคอย่างพออยู่พอกินขึ้นไปถึงขั้นแปรรูปอุตสาหกรรมครัวเรือน สร้างอาชีพและทักษะวิชาการที่หลากหลายเกิดตลาดซื้อขาย สะสมทุน ฯลฯ บนพื้นฐานเครือข่ายเศรษฐกิจชุมชนนี้ เศรษฐกิจของ 3 ชาติ จะพัฒนาขึ้นมาอย่างมั่นคงทั้งในด้านกำลังทุนและตลาดภายในประเทศ รวมทั้งเทคโนโลยีซึ่งจะค่อยๆ พัฒนาขึ้นมาจากฐานทรัพยากรและภูมิปัญญาที่มีอยู่ภายในชาติ และทั้งที่จะพึงคัดสรรเรียนรู้จากโลกภายนอก
เศรษฐกิจพอเพียงเป็นเศรษฐกิจที่พอเพียงกับตัวเอง ทำให้อยู่ได้ ไม่ต้องเดือดร้อน มีสิ่งจำเป็นที่ทำได้โดยตัวเองไม่ต้องแข่งขันกับใคร และมีเหลือเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ไม่มี อันนำไปสู่การแลกเปลี่ยนในชุมชน และขยายไปจนสามารถที่จะเป็นสินค้าส่งออก เศรษฐกิจพอเพียงเป็นเศรษฐกิจระบบเปิดที่เริ่มจากตนเองและความร่วมมือ วิธีการเช่นนี้จะดึงศักยภาพของ ประชากรออกมาสร้างความเข้มแข็งของครอบครัว ซึ่งมีความผู้พันกับ “จิตวิญญาณ” คือ “คุณค่า” มากกว่า “มูลค่า”

ในระบบเศรษฐกิจพอเพียงจะจัดลำดับความสำคัญของ “คุณค่า” มากกว่า “มูลค่า” มูลค่านั้นขาดจิตวิญญาณ เพราะเป็นเศรษฐกิจภาคการเงิน ที่เน้นที่จะตอบสนองต่อความต้องการที่ไม่จำกัดซึ่งไร้ขอบเขต ถ้าไม่สามารถควบคุมได้การใช้ทรัพยากรอย่างทำลายล้างจะรวดเร็วขึ้นและปัญหาจะตามมา เป็นการบริโภคที่ก่อให้เกิดความทุกข์หรือพาไปหาความทุกข์ และจะไม่มีโอกาสบรรลุวัตถุประสงค์ในการบริโภค ที่จะก่อให้ความพอใจและความสุข (Maximization of Satisfaction) ผู้บริโภคต้องใช้หลักขาดทุนคือกำไร (Our loss is our gain) อย่างนี้จะควบคุมความต้องการที่ไม่จำกัดได้ และสามารถจะลดความต้องการลงมาได้ ก่อให้เกิดความพอใจและความสุขเท่ากับได้ตระหนักในเรื่อง “คุณค่า” จะช่วยลดค่าใช้จ่ายลงได้ ไม่ต้องไปหาวิธีทำลายทรัพยากรเพื่อให้เกิดรายได้มาจัดสรรสิ่งที่เป็น “ความอยากที่ไม่มีที่สิ้นสุด” และขจัดความสำคัญของ “เงิน” ในรูปรายได้ที่เป็นตัวกำหนดการบริโภคลงได้ระดับหนึ่ง แล้วยังเป็นตัวแปรที่ไปลดภาระของกลไกของตลาดและการพึ่งพิงกลไกของตลาด ซึ่งบุคคลโดยทั่วไปไม่สามารถจะควบคุมได้ รวมทั้งได้มีส่วนในการป้องกันการบริโภคเลียนแบบ (Demonstration Effects) จะไม่ทำให้เกิดการสูญเสีย จะทำให้ไม่เกิดการบริโภคเกิน (Over Consumption) ซึ่งก่อให้เกิดสภาพเศรษฐกิจดี สังคมไม่มีปัญหา การพัฒนายั่งยืน

การบริโภคที่ฉลาดดังกล่าวจะช่วยป้องกันการขาดแคลน แม้จะไม่ร่ำรวยรวดเร็ว แต่ในยามปกติก็จะทำให้ร่ำรวยมากขึ้น ในยามทุกข์ภัยก็ไม่ขาดแคลน และสามารถจะฟื้นตัวได้เร็วกว่า โดยไม่ต้องหวังความช่วยเหลือจากผู้อื่นมากเกินไป เพราะฉะนั้นความพอมีพอกินจะสามารถอุ้มชูตัวได้ ทำให้เกิดความเข้มแข็ง และความพอเพียงนั้นไม่ได้หมายความว่า ทุกครอบครัวต้องผลิตอาหารของตัวเอง จะต้องทอผ้าใส่เอง แต่มีการแลกเปลี่ยนกันได้ระหว่างหมู่บ้าน เมือง และแม้กระทั่งระหว่างประเทศ ที่สำคัญคือการบริโภคนั้นจะทำให้เกิดความรู้ที่จะอยู่ร่วมกับระบบ รักธรรมชาติ ครอบครัวอบอุ่น ชุมชนเข้มแข็ง เพราะไม่ต้องทิ้งถิ่นไปหางานทำ เพื่อหารายได้มาเพื่อการบริโภคที่ไม่เพียงพอ

ประเทศไทยอุดมไปด้วยทรัพยากรและยังมีพอสำหรับประชาชนไทยถ้ามีการจัดสรรที่ดี โดยยึด " คุณค่า " มากกว่า " มูลค่า " ยึดความสัมพันธ์ของ “บุคคล” กับ “ระบบ” และปรับความต้องการที่ไม่จำกัดลงมาให้ได้ตามหลักขาดทุนเพื่อกำไร และอาศัยความร่วมมือเพื่อให้เกิดครอบครัวที่เข้มแข็งอันเป็นรากฐานที่สำคัญของระบบสังคม

การผลิตจะเสียค่าใช้จ่ายลดลงถ้ารู้จักนำเอาสิ่งที่มีอยู่ในขบวนการธรรมชาติมาปรุงแต่ง ตามแนวพระราชดำริในเรื่องต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้วซึ่งสรุปเป็นคำพูดที่เหมาะสมตามที่ ฯพณฯ พลเอกเปรม ตินณสูลานนท์ ที่ว่า “…ทรงปลูกแผ่นดิน ปลูกความสุข ปลดความทุกข์ของราษฎร” ในการผลิตนั้นจะต้องทำด้วยความรอบคอบไม่เห็นแก่ได้ จะต้องคิดถึงปัจจัยที่มีและประโยชน์ของผู้เกี่ยวข้อง มิฉะนั้นจะเกิดปัญหาอย่างเช่นบางคนมีโอกาสทำโครงการแต่ไม่ได้คำนึงว่าปัจจัยต่าง ๆ ไม่ครบ ปัจจัยหนึ่งคือขนาดของโรงงาน หรือเครื่องจักรที่สามารถที่จะปฏิบัติได้ แต่ข้อสำคัญที่สุด คือวัตถุดิบ ถ้าไม่สามารถที่จะให้ค่าตอบแทนวัตถุดิบแก่เกษตรกรที่เหมาะสม เกษตรกรก็จะไม่ผลิต ยิ่งถ้าใช้วัตถุดิบสำหรับใช้ในโรงงานั้น เป็นวัตถุดิบที่จะต้องนำมาจากระยะไกล หรือนำเข้าก็จะยิ่งยาก เพราะว่าวัตถุดิบที่นำเข้านั้นราคายิ่งแพง บางปีวัตถุดิบมีบริบูรณ์ ราคาอาจจะต่ำลงมา แต่เวลาจะขายสิ่งของที่ผลิตจากโรงงานก็ขายยากเหมือนกัน เพราะมีมากจึงทำให้ราคาตก หรือกรณีใช้เทคโนโลยีทางการเกษตร เกษตรกรรู้ดีว่าเทคโนโลยีทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น และผลผลิตที่เพิ่มนั้นจะล้นตลาด ขายได้ในราคาที่ลดลง ทำให้ขาดทุน ต้องเป็นหนี้สิน


การผลิตตามทฤษฎีใหม่สามารถเป็นต้นแบบการคิดในการผลิตที่ดีได้ ดังนี้

1. การผลิตนั้นมุ่งใช้เป็นอาหารประจำวันของครอบครัว เพื่อให้มีพอเพียงในการบริโภคตลอดปี เพื่อใช้เป็นอาหารประจำวันและเพื่อจำหน่าย
2. การผลิตต้องอาศัยปัจจัยในการผลิต ซึ่งจะต้องเตรียมให้พร้อม เช่น การเกษตรต้องมีน้ำ การจัดให้มีและดูแหล่งน้ำ จะก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งการผลิต และประโยชน์ใช้สอยอื่น ๆ
3. ปัจจัยประกอบอื่น ๆ ที่จะอำนวยให้การผลิตดำเนินไปด้วยดี และเกิดประโยชน์เชื่อมโยง (Linkage) ที่จะไปเสริมให้เกิดความยั่งยืนในการผลิต จะต้องร่วมมือกันทุกฝ่ายทั้ง เกษตรกร ธุรกิจ ภาครัฐ ภาคเอกชน เพื่อเชื่อมโยงเศรษฐกิจพอเพียงเข้ากับเศรษฐกิจการค้า และให้ดำเนินกิจการควบคู่ไปด้วยกันได้

การผลิตจะต้องตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่าง “บุคคล” กับ “ระบบ” การผลิตนั้นต้องยึดมั่นในเรื่องของ “คุณค่า” ให้มากกว่า “มูลค่า” ดังพระราชดำรัส ซึ่งได้นำเสนอมาก่อนหน้านี้ที่ว่า

“…บารมีนั้น คือ ทำความดี เปรียบเทียบกับธนาคาร …ถ้าเราสะสมเงินให้มากเราก็สามารถที่จะใช้ดอกเบี้ย ใช้เงินที่เป็นดอกเบี้ย โดยไม่แตะต้องทุนแต่ถ้าเราใช้มากเกิดไป หรือเราไม่ระวัง เรากิน เข้าไปในทุน ทุนมันก็น้อยลง ๆ จนหมด …ไปเบิกเกินบัญชีเขาก็ต้องเอาเรื่อง ฟ้องเราให้ล้มละลาย เราอย่าไปเบิกเกินบารมีที่บ้านเมือง ที่ประเทศได้สร้างสมเอาไว้ตั้งแต่บรรพบุรุษของเราให้เกินไป เราต้องทำบ้าง หรือเพิ่มพูนให้ประเทศของเราปกติมีอนาคตที่มั่นคง บรรพบุรุษของเราแต่โบราณกาล ได้สร้างบ้านเมืองมาจนถึงเราแล้ว ในสมัยนี้ที่เรากำลังเสียขวัญ กลัว จะได้ไม่ต้องกลัว ถ้าเราไม่รักษาไว้…”

การจัดสรรทรัพยากรมาใช้เพื่อการผลิตที่คำนึงถึง “คุณค่า” มากกว่า “มูลค่า” จะก่อให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่าง “บุคคล” กับ “ระบบ” เป็นไปอย่างยั่งยืน ไม่ทำลายทั้งทุนสังคมและทุนเศรษฐกิจ นอกจากนี้จะต้องไม่ติดตำรา สร้างความรู้ รัก สามัคคี และความร่วมมือร่วมแรงใจ มองกาลไกลและมีระบบสนับสนุนที่เป็นไปได้

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปลูกฝังแนวพระราชดำริให้ประชาชนยอมรับไปปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง โดยให้วงจรการพัฒนาดำเนินไปตามครรลองธรรมชาติ กล่าวคือ

ทรงสร้างความตระหนักแก่ประชาชนให้รับรู้ (Awareness) ในทุกคราเมื่อ เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมประชาชนในทุกภูมิภาคต่าง ๆ จะทรงมีพระราชปฏิสันถารให้ประชาชนได้รับทราบถึงสิ่งที่ควรรู้ เช่น การปลูกหญ้าแฝกจะช่วยป้องกันดินพังทลาย และใช้ปุ๋ยธรรมชาติจะช่วยประหยัดและบำรุงดิน การแก้ไขดินเปรี้ยวในภาคใต้สามารถกระทำได้ การ ตัดไม้ทำลายป่าจะทำให้ฝนแล้ง เป็นต้น ตัวอย่างพระราชดำรัสที่เกี่ยวกับการสร้างความตระหนักให้แก่ประชาชน ได้แก่

“….ประเทศไทยนี้เป็นที่ที่เหมาะมากในการตั้งถิ่นฐาน แต่ว่าต้องรักษาไว้ ไม่ทำให้ประเทศไทยเป็นสวนเป็นนากลายเป็นทะเลทราย ก็ป้องกัน ทำได้….”

ทรงสร้างความสนใจแก่ประชาชน (Interest) หลายท่านคงได้ยินหรือรับฟัง โครงการอันเนื่อง มาจากพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่มีนามเรียกขานแปลกหู ชวนฉงน น่าสนใจติดตามอยู่เสมอ เช่น โครงการแก้มลิง โครงการแกล้งดิน โครงการเส้นทางเกลือ โครงการน้ำดีไล่น้ำเสีย หรือโครงการน้ำสามรส ฯลฯ เหล่านี้ เป็นต้น ล้วนเชิญชวนให้ ติดตามอย่างใกล้ชิด แต่พระองค์ก็จะมีพระราชาธิบายแต่ละโครงการอย่างละเอียด เป็นที่เข้าใจง่ายรวดเร็วแก่ประชาชนทั้งประเทศ

ในประการต่อมา ทรงให้เวลาในการประเมินค่าหรือประเมินผล (Evaluate) ด้วยการศึกษาหาข้อมูลต่าง ๆ ว่าโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริของพระองค์นั้นเป็นอย่างไร สามารถนำไปปฏิบัติได้ในส่วนของตนเองหรือไม่ ซึ่งยังคงยึดแนวทางที่ให้ประชาชนเลือกการพัฒนาด้วยตนเอง ที่ว่า
“….ขอให้ถือว่าการงานที่จะทำนั้นต้องการเวลา เป็นงานที่มีผู้ดำเนินมาก่อนแล้ว ท่านเป็นผู้ที่จะเข้าไปเสริมกำลัง จึงต้องมีความอดทนที่จะเข้าไปร่วมมือกับผู้อื่น ต้องปรองดองกับเขาให้ได้ แม้เห็นว่ามีจุดหนึ่งจุดใดต้องแก้ไขปรับปรุงก็ต้องค่อยพยายามแก้ไขไปตามที่ถูกที่ควร….”

ในขั้นทดลอง (Trial) เพื่อทดสอบว่างานในพระราชดำริที่ทรงแนะนำนั้นจะได้ผลหรือไม่ซึ่งในบางกรณีหากมีการทดลองไม่แน่ชัดก็ทรงมักจะมิให้เผยแพร่แก่ประชาชน หากมีผลการทดลองจนแน่พระราชหฤทัยแล้วจึงจะออกไปสู่สาธารณชนได้ เช่น ทดลองปลูกหญ้าแฝกเพื่ออนุรักษ์ดินและน้ำนั้น ได้มีการค้นคว้าหาความเหมาะสมและความเป็นไปได้จนทั่วทั้งประเทศว่าดียิ่งจึงนำออกเผยแพร่แก่ประชาชน เป็นต้น

ขั้นยอมรับ (Adoption) โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำรินั้น เมื่อผ่านกระบวนการมาหลายขั้นตอน บ่ม เพาะ และมีการทดลองมาเป็นเวลานาน ตลอดจนทรงให้ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริและสถานที่อื่น ๆ เป็นแหล่งสาธิตที่ประชาชนสามารถเข้าไปศึกษาดูได้ถึงตัวอย่างแห่งความสำเร็จ ดังนั้น แนวพระราชดำริของพระองค์จึงเป็นสิ่งที่ราษฎรสามารถพิสูจน์ได้ว่าจะได้รับผลดีต่อชีวิต และความเป็นอยู่ของตนได้อย่างไร

แนวพระราชดำริทั้งหลายดังกล่าวข้างต้นนี้ แสดงถึงพระวิริยะอุตสาหะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทุ่มเทพระสติปัญญา ตรากตรำพระวรกาย เพื่อค้นคว้าหาแนวทางการพัฒนาให้พสกนิกรทั้งหลายได้มีความร่มเย็นเป็นสุขสถาพรยั่งยืนนาน นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันใหญ่หลวงที่ได้พระราชทานแก่ปวงไทยตลอดเวลามากกว่า 50 ปี จึงกล่าวได้ว่าพระราชกรณียกิจของพระองค์นั้นสมควรอย่งยิ่งที่ทวยราษฎรจักได้เจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาท ตามที่ทรงแนะนำ สั่งสอน อบรมและวางแนวทางไว้เพื่อให้เกิดการอยู่ดีมีสุขโดยถ้วนเช่นกัน โดยการพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขึ้นตอนต้องสร้างพื้นฐาน คือ ความพอมี พอกิน พอใช้ ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัด แต่ถูกต้องตาหลักวิชาการ เพื่อได้พื้นฐานที่มั่นคงพร้อมพอสมควรและปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริม ความเจริญ และฐานะทางเศรษฐกิจขึ้นที่สูงขึ้นไปตามลำดับ จะก่อให้เกิดความยั่งยืนและจะนำไปสู่ความเข้มแข็งของครอบครัว ชุมชน และสังคม สุดท้ายเศรษฐกิจดี สังคมไม่มีปัญหา การพัฒนายั่งยืน

ประการที่สำคัญของเศรษฐกิจพอเพียง
1. พอมีพอกิน ปลูกพืชสวนครัวไว้กินเองบ้าง ปลูกไม้ผลไว้หลังบ้าน 2-3 ต้น พอที่จะมีไว้กินเองในครัวเรือน เหลือจึงขายไป
2. พออยู่พอใช้ ทำให้บ้านน่าอยู่ ปราศจากสารเคมี กลิ่นเหม็น ใช้แต่ของที่เป็นธรรมชาติ (ใช้จุลินทรีย์ผสมน้ำถูพื้นบ้าน จะสะอาดกว่าใช้น้ำยาเคมี) รายจ่ายลดลง สุขภาพจะดีขึ้น (ประหยัดค่ารักษาพยาบาล)
3. พออกพอใจ เราต้องรู้จักพอ รู้จักประมาณตน ไม่ใคร่อยากใคร่มีเช่นผู้อื่น เพราะเราจะหลงติดกับวัตถุ ปัญญาจะไม่เกิด
" การจะเป็นเสือนั้นมันไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เราพออยู่พอกิน และมีเศรษฐกิจการเป็นอยู่แบบพอมีพอกิน แบบพอมีพอกิน หมายความว่า อุ้มชูตัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตัวเอง "
"เศรษฐกิจพอเพียง" จะสำเร็จได้ด้วย "ความพอดีของตน"

่้่เศรษฐกิจพอเพียง

เศรษฐกิจแบบพอเพียง

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเข้าพระราชหฤทัยในความเป็นไปของเมืองไทยและคนไทยอย่างลึกซึ้งและกว้างไกล ได้ทรงวางรากฐานในการพัฒนาชนบท และช่วยเหลือประชาชนให้สามารถพึ่งตนเองได้มีความ " พออยู่พอกิน" และมีความอิสระที่จะอยู่ได้โดยไม่ต้องติดยึดอยู่กับเทคโนโลยีและความเปลี่ยนแปลงของกระแสโลกาภิวัฒน์ ทรงวิเคราะห์ว่าหากประชาชนพึ่งตนเองได้แล้วก็จะมีส่วนช่วยเหลือเสริมสร้างประเทศชาติโดยส่วนรวมได้ในที่สุด พระราชดำรัสที่สะท้อนถึงพระวิสัยทัศน์ในการสร้างความเข้มแข็งในตนเองของประชาชนและสามารถทำมาหากินให้พออยู่พอกินได้ ดังนี้
"….ในการสร้างถนน สร้างชลประทานให้ประชาชนใช้นั้น จะต้องช่วยประชาชนในทางบุคคลหรือพัฒนาให้บุคคลมีความรู้และอนามัยแข็งแรง ด้วยการให้การศึกษาและการรักษาอนามัย เพื่อให้ประชาชนในท้องที่สามารถทำการเกษตรได้ และค้าขายได้…"
ในสภาวการณ์ปัจจุบัน ซึ่งเกิดความถดถอยทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงขึ้นนี้จึงทำให้เกิดความเข้าใจได้ชัดเจนในแนวพระราชดำริของ "เศรษฐกิจพอเพียง" ซึ่งได้ทรงคิดและตระหนักมาช้านาน เพราะหากเราไม่ไปพี่งพา ยึดติดอยู่กับกระแสจากภายนอกมากเกินไป จนได้ครอบงำความคิดในลักษณะดั้งเดิมแบบไทยๆไปหมด มีแต่ความทะเยอทะยานบนรากฐานที่ไม่มั่นคงเหมือนลักษณะฟองสบู่ วิกฤตเศรษฐกิจเช่นนี้อาจไม่เกิดขึ้น หรือไม่หนักหนาสาหัสจนเกิดความเดือดร้อนกันถ้วนทั่วเช่นนี้ ดังนั้น "เศรษฐกิจพอเพียง" จึงได้สื่อความหมาย ความสำคัญในฐานะเป็นหลักการสังคมที่พึงยึดถือ
ในทางปฏิบัติจุดเริ่มต้นของการพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงคือ การฟื้นฟูเศรษฐกิจชุมชนท้องถิ่น เศรษฐกิจพอเพียงเป็นทั้งหลักการและกระบวนการทางสังคม ตั้งแต่ขั้นฟื้นฟูและขยายเครือข่ายเกษตรกรรมยั่งยืน เป็นการพัฒนาขีดความสามารถในการผลิตและบริโภคอย่างพออยู่พอกินขึ้นไปถึงขั้นแปรรูปอุตสาหกรรมครัวเรือน สร้างอาชีพและทักษะวิชาการที่หลากหลายเกิดตลาดซื้อขาย สะสมทุน ฯลฯ บนพื้นฐานเครือข่ายเศรษฐกิจชุมชนนี้ เศรษฐกิจของ 3 ชาติ จะพัฒนาขึ้นมาอย่างมั่นคงทั้งในด้านกำลังทุนและตลาดภายในประเทศ รวมทั้งเทคโนโลยีซึ่งจะค่อยๆ พัฒนาขึ้นมาจากฐานทรัพยากรและภูมิปัญญาที่มีอยู่ภายในชาติ และทั้งที่จะพึงคัดสรรเรียนรู้จากโลกภายนอก
เศรษฐกิจพอเพียงเป็นเศรษฐกิจที่พอเพียงกับตัวเอง ทำให้อยู่ได้ ไม่ต้องเดือดร้อน มีสิ่งจำเป็นที่ทำได้โดยตัวเองไม่ต้องแข่งขันกับใคร และมีเหลือเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ไม่มี อันนำไปสู่การแลกเปลี่ยนในชุมชน และขยายไปจนสามารถที่จะเป็นสินค้าส่งออก เศรษฐกิจพอเพียงเป็นเศรษฐกิจระบบเปิดที่เริ่มจากตนเองและความร่วมมือ วิธีการเช่นนี้จะดึงศักยภาพของ ประชากรออกมาสร้างความเข้มแข็งของครอบครัว ซึ่งมีความผู้พันกับ “จิตวิญญาณ” คือ “คุณค่า” มากกว่า “มูลค่า”

ในระบบเศรษฐกิจพอเพียงจะจัดลำดับความสำคัญของ “คุณค่า” มากกว่า “มูลค่า” มูลค่านั้นขาดจิตวิญญาณ เพราะเป็นเศรษฐกิจภาคการเงิน ที่เน้นที่จะตอบสนองต่อความต้องการที่ไม่จำกัดซึ่งไร้ขอบเขต ถ้าไม่สามารถควบคุมได้การใช้ทรัพยากรอย่างทำลายล้างจะรวดเร็วขึ้นและปัญหาจะตามมา เป็นการบริโภคที่ก่อให้เกิดความทุกข์หรือพาไปหาความทุกข์ และจะไม่มีโอกาสบรรลุวัตถุประสงค์ในการบริโภค ที่จะก่อให้ความพอใจและความสุข (Maximization of Satisfaction) ผู้บริโภคต้องใช้หลักขาดทุนคือกำไร (Our loss is our gain) อย่างนี้จะควบคุมความต้องการที่ไม่จำกัดได้ และสามารถจะลดความต้องการลงมาได้ ก่อให้เกิดความพอใจและความสุขเท่ากับได้ตระหนักในเรื่อง “คุณค่า” จะช่วยลดค่าใช้จ่ายลงได้ ไม่ต้องไปหาวิธีทำลายทรัพยากรเพื่อให้เกิดรายได้มาจัดสรรสิ่งที่เป็น “ความอยากที่ไม่มีที่สิ้นสุด” และขจัดความสำคัญของ “เงิน” ในรูปรายได้ที่เป็นตัวกำหนดการบริโภคลงได้ระดับหนึ่ง แล้วยังเป็นตัวแปรที่ไปลดภาระของกลไกของตลาดและการพึ่งพิงกลไกของตลาด ซึ่งบุคคลโดยทั่วไปไม่สามารถจะควบคุมได้ รวมทั้งได้มีส่วนในการป้องกันการบริโภคเลียนแบบ (Demonstration Effects) จะไม่ทำให้เกิดการสูญเสีย จะทำให้ไม่เกิดการบริโภคเกิน (Over Consumption) ซึ่งก่อให้เกิดสภาพเศรษฐกิจดี สังคมไม่มีปัญหา การพัฒนายั่งยืน

การบริโภคที่ฉลาดดังกล่าวจะช่วยป้องกันการขาดแคลน แม้จะไม่ร่ำรวยรวดเร็ว แต่ในยามปกติก็จะทำให้ร่ำรวยมากขึ้น ในยามทุกข์ภัยก็ไม่ขาดแคลน และสามารถจะฟื้นตัวได้เร็วกว่า โดยไม่ต้องหวังความช่วยเหลือจากผู้อื่นมากเกินไป เพราะฉะนั้นความพอมีพอกินจะสามารถอุ้มชูตัวได้ ทำให้เกิดความเข้มแข็ง และความพอเพียงนั้นไม่ได้หมายความว่า ทุกครอบครัวต้องผลิตอาหารของตัวเอง จะต้องทอผ้าใส่เอง แต่มีการแลกเปลี่ยนกันได้ระหว่างหมู่บ้าน เมือง และแม้กระทั่งระหว่างประเทศ ที่สำคัญคือการบริโภคนั้นจะทำให้เกิดความรู้ที่จะอยู่ร่วมกับระบบ รักธรรมชาติ ครอบครัวอบอุ่น ชุมชนเข้มแข็ง เพราะไม่ต้องทิ้งถิ่นไปหางานทำ เพื่อหารายได้มาเพื่อการบริโภคที่ไม่เพียงพอ

ประเทศไทยอุดมไปด้วยทรัพยากรและยังมีพอสำหรับประชาชนไทยถ้ามีการจัดสรรที่ดี โดยยึด " คุณค่า " มากกว่า " มูลค่า " ยึดความสัมพันธ์ของ “บุคคล” กับ “ระบบ” และปรับความต้องการที่ไม่จำกัดลงมาให้ได้ตามหลักขาดทุนเพื่อกำไร และอาศัยความร่วมมือเพื่อให้เกิดครอบครัวที่เข้มแข็งอันเป็นรากฐานที่สำคัญของระบบสังคม

การผลิตจะเสียค่าใช้จ่ายลดลงถ้ารู้จักนำเอาสิ่งที่มีอยู่ในขบวนการธรรมชาติมาปรุงแต่ง ตามแนวพระราชดำริในเรื่องต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้วซึ่งสรุปเป็นคำพูดที่เหมาะสมตามที่ ฯพณฯ พลเอกเปรม ตินณสูลานนท์ ที่ว่า “…ทรงปลูกแผ่นดิน ปลูกความสุข ปลดความทุกข์ของราษฎร” ในการผลิตนั้นจะต้องทำด้วยความรอบคอบไม่เห็นแก่ได้ จะต้องคิดถึงปัจจัยที่มีและประโยชน์ของผู้เกี่ยวข้อง มิฉะนั้นจะเกิดปัญหาอย่างเช่นบางคนมีโอกาสทำโครงการแต่ไม่ได้คำนึงว่าปัจจัยต่าง ๆ ไม่ครบ ปัจจัยหนึ่งคือขนาดของโรงงาน หรือเครื่องจักรที่สามารถที่จะปฏิบัติได้ แต่ข้อสำคัญที่สุด คือวัตถุดิบ ถ้าไม่สามารถที่จะให้ค่าตอบแทนวัตถุดิบแก่เกษตรกรที่เหมาะสม เกษตรกรก็จะไม่ผลิต ยิ่งถ้าใช้วัตถุดิบสำหรับใช้ในโรงงานั้น เป็นวัตถุดิบที่จะต้องนำมาจากระยะไกล หรือนำเข้าก็จะยิ่งยาก เพราะว่าวัตถุดิบที่นำเข้านั้นราคายิ่งแพง บางปีวัตถุดิบมีบริบูรณ์ ราคาอาจจะต่ำลงมา แต่เวลาจะขายสิ่งของที่ผลิตจากโรงงานก็ขายยากเหมือนกัน เพราะมีมากจึงทำให้ราคาตก หรือกรณีใช้เทคโนโลยีทางการเกษตร เกษตรกรรู้ดีว่าเทคโนโลยีทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น และผลผลิตที่เพิ่มนั้นจะล้นตลาด ขายได้ในราคาที่ลดลง ทำให้ขาดทุน ต้องเป็นหนี้สิน

วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2552

ปรากฎการณ์เรือนกระจก


ปรากฎการณ์เรือนกระจก

"ปรากฏการณ์เรือนกระจก" (greenhouse effect) คือ ปรากฏการณ์ที่โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้น
เนื่องจาก พลังงานแสงอาทิตย์ ์ในช่วงความยาวคลื่นอินฟราเรทที่สะท้อนกลับถูกดูดกลืนโดย
โมเลกุลของ ไอน้ำ คาร์บอนไดออกไซด์ C2O มีเทน (CH4) และ CFCsไนตรัสออกไซด์ (N2O)
ในบรรยากาศทำให้โมเลกุลเหล่านี้มีพลังงานสูงขึ้นมีการถ่ายเทพลังงานซึ่งกันและกันทำให้
อุณหภูมิในชั้นบรรยากาศสูงขึ้นการถ่ายเทพลังงานและความยาวคลื่นของโมเลกุลเหล่านี้
ต่อๆกันไป ในบรรยากาศทำให้โมเลกุลเกิดการสั่นการเคลื่อนไหว ตลอดเวลาและมาชน
ถูกผิวหนังของเรา ทำให้เรารู้สึกร้อน
สิวอุดตัน ป้องกันง่ายๆ

หมอต้องตอบคำถามคนไข้อยู่ทุกวันว่า

“ ทำอย่างไรดีกับสิวอุดตัน”
“ จะป้องกันสิวอุดตันได้อย่างไรคะ คุณหมอ “
“ หนูกดสิวจนหน้าเป็นหลุมแล้ว “
“ เบื่อ ไม่อยากรักษาสิวอุดตันแล้ว “
“ ต้องทาครีมกันแดด ครีมบำรุงอะไร ถึงไม่เป็นสิวอุดตัน “

ในปัจจุบันหมอเริ่มสังเกตุเห็นว่าคนไข้มีปัญหาสิวอุดตันเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ คนไข้บางคนสุขภาพผิวดีมากแต่เป็นสิวอุดตัน บางคนไม่เคยเป็นสิวเลยในช่วงวัยรุ่นเพิ่งมาเป็นตอนวัยทำงาน สาเหตุเป็นเพราะอะไร คำตอบ คือ เกิดจากการใช้เครื่องสำอางค์กันอย่างแพร่หลายทั้งจากสื่อโทรทัศน์ วิทยุ ทำให้เกิดกระแส การบำรุงผิวต้องทาครีมไม่งั้นจะแก่เร็ว เป็นสิวเกิดจากผิวอ่อนแอต้องทาครีมบำรุง กลัวผิวแห้ง ทั้งๆที่อากาศในบ้านเราก็ร้อนอบอ้าวทำให้ผิวหนังผลิตน้ำมันมากอยู่แล้ว ดังนั้นการใช้ครีมมอยเจอร์ไรเซอร์ต่างๆแทบไม่มีความจำเป็นเลย

ภายในส่วนผสมของครีมต่างๆโดยเฉพาะ สารกันแดด สารให้ความหอม สารกันเสีย หรือแม้กระทั่ง ครีมเบส สารเหล่านี้มีรายงานว่าสามารถทำให้เกิดการระคายเคือง หรือ การแพ้ในรูปแบบของสิวอุดตันได้ และจากประสบการณ์ของหมอ คนไข้ที่เป็นสิวอยู่แล้ว ควรหลีกเลี่ยงการใช้ครีมและเครื่องสำอางค์ระหว่างการรักษาสิว เท่านี้สามารถลดการเกิดสิวอุดตันได้อย่างมีประสิทธิภาพและเงินในกระเป๋าก็ยังอยู่ครบ

ดังนั้นการป้องกันสิวอุดตันนั้นง่ายจริงๆ ทำไม่ยาก ไม่เสียเวลา เพียงแต่เปลี่ยนความคิดใหม่ มีสติ ไม่อิงกระแสนิยม

ภาวะโลกร้อน

ภาวะโลกร้อน

ภาวะโลกร้อน (Global Warming) หรือ ภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง (Climate Change) เป็นปัญหาใหญ่ของโลกเราในปัจจุบัน สังเกตได้จาก อุณหภูมิ ของโลกที่สูงขึ้นเรื่อยๆ สาเหตุหลักของปัญหานี้ มาจาก ก๊าซเรือนกระจก ค่ะ (Greenhouse gases)
ปรากฏการณ์เรือนกระจก มีความสำคัญกับโลก เพราะก๊าซจำพวก คาร์บอนไดออกไซด์ หรือ มีเทน จะกักเก็บความร้อนบางส่วนไว้ในในโลก ไม่ให้สะท้อนกลับสู่บรรยากาศทั้งหมด มิฉะนั้น โลกจะกลายเป็นแบบดวงจันทร์ ที่ตอนกลางคืนหนาวจัด (และ ตอนกลางวันร้อนจัด เพราะไม่มีบรรยากาศ กรองพลังงาน จาก ดวงอาทิตย์) ซึ่งการทำให้โลกอุ่นขึ้นเช่นนี้ คล้ายกับหลักการของ เรือนกระจก (ที่ใช้ปลูกพืช) จึงเรียกว่า ปรากฏการณ์เรือนกระจก (Greenhouse Effect) ค่ะ
แต่การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของ CO2 ที่ออกมาจาก โรงงานอุตสาหกรรม รถยนต์ หรือการกระทำใดๆที่เผา เชื้อเพลิงฟอสซิล (เช่น ถ่านหิน น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ หรือ สารประกอบไฮโดรคาร์บอน ) ส่งผลให้ระดับปริมาณ CO2 ในปัจจุบันสูงเกิน 300 ppm (300 ส่วน ใน ล้านส่วน) เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 6 แสนปี
ซึ่ง คาร์บอนไดออกไซด์ ที่มากขึ้นนี้ ได้เพิ่มการกักเก็บความร้อนไว้ในโลกของเรามากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดเป็น ภาวะโลกร้อน ดังเช่นปัจจุบัน
ภาวะโลกร้อนภายในช่วง 10 ปีนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 มานี้ ได้มีการบันทึกถึงปีที่มีอากาศร้อนที่สุดถึง 3 ปีคือ ปี พ.ศ. 2533, พ.ศ.2538 และปี พ.ศ. 2540 แม้ว่าพยากรณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยังมีความไม่แน่นอนหลายประการ แต่การถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์ได้เปลี่ยนหัวข้อจากคำถามที่ว่า "โลกกำลังร้อนขึ้นจริงหรือ" เป็น "ผลกระทบจากการที่โลกร้อนขึ้นจะส่งผลร้ายแรง และต่อเนื่องต่อสิ่งที่มีชีวิตในโลกอย่างไร" ดังนั้น ยิ่งเราประวิงเวลาลงมือกระทำการแก้ไขออกไปเพียงใด ผลกระทบที่เกิดขึ้นก็จะยิ่งร้ายแรงมากขึ้นเท่านั้น และบุคคลที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือ ลูกหลานของพวกเราเอง

วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ีีการทำงานของคอมพิวเตอร์

1.อุปกรณ์ที่เป็นหน่วยความจำสำรองมีอะไรบ้าง
ตอบ
1.จานแม่เหล็ก
2.จานแสง
3.เทปแม่เหล็ก


2.Mainboard ทำหน้าที่อะไร

ตอบ เป็นตัวกลางในเชื่อมต่อและติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ ของเครื่องคอมพิวเตอร์

3. การแสดงผลสามารถทำได้กี่แบบและมีไหนบ้าง

ตอบ มี 2 แบบ ได้แก่
1.การแสดงผลทางจอภาพ
2.การแสดงผลทางเครื่องพิ
มพ์

4.หน่วยความจำหลักของคอมพิวเตอร์มีกี่ประเภท อะไรบ้าง

ตอบ มี 2 ประเภท ได้แก่
1. RAM คือ
หน่วยความจำ ที่เราคุ้นเคยกันมากที่สุด และเป็นเสมือนหนึ่ง ตัวแทนของหน่วยความจำ ก็ว่าได้ การทำงานของ RAM นั้น จะเป็นเสมือนมือขวา ของ CPU โดยที่ข้อมูลแทบทั้งหมด จะต้องถูกส่งผ่านมายัง RAM เสียก่อน แล้วจึงค่อยส่งต่อไปให้ CPU อีกต่อหนึ่ง
2. ROM คือ หน่วยความจำถาวร ที่สามารถ เก็บข้อมูลเอาไว้ได้ภายใน แม้ว่าจะไม่มีประจุไฟฟ้า หล่อเลี้ยงอยู่ ( ต่างจาก RAM ที่เก็บข้อมูลได้ชั่วคราว เท่าที่มี ประจุไฟฟ้าอยู่เท่านั้น ) จุดประสงค์ ของ ROM นั่นคือ สำหรับ กักเก็บ ข้อมูลที่สำคัญๆ เอาไว้ อีกทั้ง ข้อมูลเหล่านี้ ยังไม่สามารถ ปรับเปลี่ยนได้ เพื่อป้องกัน ปัญหา การโดนไวรัสเล่นงาน หรือโดนผู้ไม่ประสงค์ดี จู่โจมเอาได้

วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สำหรับแม่น้อยกว่านี้ได้ยังไง

สำหรับ"แม่" คือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับฉัน เพราะไม่มีความรักใดยิ่งใหญ่เท่ากับความรักของแม่ แม่เปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจของฉัน แม่คอยดูแลฉัน ห่วงใยฉันเวลาที่ฉันไม่สบาย คอยอบรมสั่งสอน ฉันให้ฉันเป็นเด็กดี ตั้งใจเรียนหนังสือ เป็นคนดีของสังคม และคอยตักเตือนในสิ่งที่ฉันทำผิด สิ่งที่ทำไม่ดี ทำให้คนอื่นเดือดร้อน แม่ทำทุกอย่างเพื่อให้ฉันเป็นคนดี

ความรักใดยิ่งใหญ่เท่ารักแม่ ความรักแท้ของแม่ไม่แปรผัน
ความรักแท้ของแม่ชั่วนิรันดร์ รักใดกันยิ่งใหญ่เท่าแม่เอย

วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เเนะนำตัวเอง อิอิ *-*

ชื่อ นางสาว ประภัสสรา แคนติ
ชื่อเล่น ลูกเกด อายุ 15 ปี

เกิด วันที่ 8 เมษายน 2537

กำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ห้อง 3ชอบสี ฟ้า ขาว ดำ
เขียว
คติพจน์ เพียงพระเจ้า เพียงพอ

คติประจำใจ ไม่มีอะไรยากเกินไปสำหรับความตั้งใจจริง

nothing is difficult to a willing mind