tag:blogger.com,1999:blog-68776577888518989722023-11-16T03:28:31.040-08:00เด็กเรียนประภัสสรา แคนติhttp://www.blogger.com/profile/14755432838640685043noreply@blogger.comBlogger55125tag:blogger.com,1999:blog-6877657788851898972.post-72583295151085219912012-02-19T20:07:00.000-08:002012-02-19T20:14:13.482-08:00เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก คือ สิ่งก่อสร้างที่มีความยิ่งใหญ่และโดดเด่น ทั้งหมด 7 แห่งด้วยกัน โดยมีการกล่าวถึงครั้งแรกในงานของเฮโรโดตุส (Herodotos หรือ Herodotus เมื่อราว 5 ศตวรรษก่อนคริสตกาล แต่หลังจากนั้นก็การอ้างถึงจากกวีชาวกรีก เช่น คัลลิมาฆุส แห่งคีเรนี, อันทิพาเตอร์ แห่งซีดอน และฟิโล แห่งไบเซนไทน์ เมื่อราวศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ หรือสิ่งมหัศจรรย์ทั้งเจ็ดของโลก ในบัญชีแรก เรียกกันว่า เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ และหลังจากนั้น ยังมีบัญชีเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลางและยุคปัจจุบัน โดยไม่ปรากฏผู้จัดทำรายการอย่างชัดเจน<br />เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ<br /><br />เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ<br /><br />มหาพีระมิดแห่งกีซา ของกษัตริย์คูฟู ริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์ ในอียิปต์ มีอายุราว 2,690 ปีก่อนคริสตกาล หรือเก่าแก่กว่านั้น เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่เก่าแก่ที่สุด และยังคงปรากฏอยู่จนปัจจุบัน และมีสภาพค่อนข้างสมบูรณ์<br />สวนลอยแห่งบาบิโลน สร้างโดยพระเจ้าเนบูคาดเนสซาร์ที่ 2 เมื่อศตวรรษก่อนคริสตกาลที่ 6 ปัจจุบันไม่ปรากฏหลักฐานหรือซาก แต่คาดว่าน่าจะอยู่บริเวณเดียวกับกรุงบาบิโลนในประเทศอีรัก<br />เทวรูปซูสที่โอลิมเปีย ที่เมืองโอลิมเปีย ประเทศกรีก สร้างเมื่อประมาณ 462 ปีก่อนคริสตกาล สร้างและตกแต่งด้วยทองคำ งาช้าง และอัญมณีต่างๆ มีความสูง 12 เมตร ภายหลังแผ่นดินไหวเสียหายจนหมดสิ้น<br />วิหารอาร์เทอมีส (หรือ วิหารไดอานา) ที่เอเฟซุสในเอเชียไมเนอร์ (ประเทศตุรกี) สร้างขึ้นเมื่อศตวรรษก่อนคริสตกาลที่ 4 ภายหลังถูกทำลายโดยพวกโกธส์จากเยอรมันที่บุกเข้ามาโจมตี เมื่อปี พ.ศ. 805 ปัจจุบันพอเหลือซากอยู่บ้าง<br />สุสานแห่งฮาลิคาร์นัสเซิส ที่ฮาลิคาร์นัสซัสในเอเชียไมเนอร์ (ประเทศตุรกี) สร้างโดยพระราชินีอาร์เทมิเซีย เป็นอนุสรณ์สถานแก่กษัตริย์มอโซลุสแห่งคาเรียที่สวรรคตเมื่อ 353 ปีก่อนคริสตกาล ถูกทำลายโดยแผ่นดินไหวและต่อมานำไปใช้ในการก่อสร้างโดยอัศวินแห่งโรดส์ ปัจจุบันพอเหลือซากอยู่บ้าง<br />เทวรูปโคโลสซูส ในทะเลเอเจียน ประเทศกรีก เป็นรูปสำริดขนาดใหญ่ของสุริยเทพ หรือเฮลิเอิส สูงประมาณ 32 เมตร ถูกทำลายโดยแผ่นดินไหวหลังการสร้างเพียง 60 ปี ปัจจุบันไม่ปรากฏซาก<br />ประภาคารฟาโรส แห่ง อเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ สมัยพระเจ้าปโตเลมี ประมาณ 271 ปีก่อนคริสตกาล ถูกทำลายโดยสิ้นเชิงเมื่อแผ่นดินไหวในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14 ปัจจุบันมีป้อมขนาดเล็กอยู่บนซากที่เหลือ<br /><br />เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลาง<br /><br />สิ่งมหัศจรรย์ทั้งเจ็ดจัดเป็นสิ่งก่อสร้างของโลกสมัยกลาง ไม่ทราบแน่ชัดว่าใครได้กำหนดไว้ และรายการในยุคกลางก็ระบุไว้ไม่ตรงกัน แต่โดยมากจะยอมรับกับรายการต่อไปนี้[ต้องการอ้างอิง]<br /><br />โคลอสเซียม สนามกีฬาแห่งกรุงโรม ประเทศอิตาลี<br />หลุมฝังศพแห่งอะเล็กซานเดรีย สุสานใต้ดินเมืองอะเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์<br />กำแพงเมืองจีน ประเทศจีน<br />สโตนเฮนจ์ ในอังกฤษ<br />เจดีย์กระเบื้องเคลือบ เมืองหนานกิง ประเทศจีน<br />หอเอนเมืองปิซา ประเทศอิตาลี<br />สุเหร่าโซเฟีย แห่งคอนสแตนติโนเปิล (ปัจจุบันคือ กรุงอีสตันบูล) ประเทศตุรกี<br />เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคปัจจุบัน<br /><br /><br />เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่<br /><br />อุโมงค์รถไฟใต้ทะเล ประเทศอังกฤษ-ฝรั่งเศส<br />ซีเอ็น ทาวเวอร์ ประเทศแคนาดา<br />เขื่อนอิไตปู ประเทศบราซิล-ปารากวัย<br />ตึกเอ็มไพร์สเตต ประเทศสหรัฐอเมริกา<br />เดลต้า เวิร์ค ประเทศเนเธอร์แลนด์<br />สะพานโกลเดนเกต ประเทศสหรัฐอเมริกา<br />คลองปานามา ทวีปอเมริกาใต้<br /><br /><strong></strong><em></em>ประภัสสรา แคนติhttp://www.blogger.com/profile/14755432838640685043noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6877657788851898972.post-66986094968820209532011-04-01T04:25:00.000-07:002011-04-01T04:27:58.827-07:00<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhKSYzfUYQlS5iYysNwUYImoZXhdRRFxfewUKtLdjgRK8HLC_5dAkmrSUG7-NI_wEYNihw8v_x7Sc5sRfJ-3zw2D2FNEGLpSQfXWo53F0Da7-17CggHoFbsMXu1_qSKKSVgLNLrnmsg9OM/s1600/875.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5590575011232040354" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 315px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhKSYzfUYQlS5iYysNwUYImoZXhdRRFxfewUKtLdjgRK8HLC_5dAkmrSUG7-NI_wEYNihw8v_x7Sc5sRfJ-3zw2D2FNEGLpSQfXWo53F0Da7-17CggHoFbsMXu1_qSKKSVgLNLrnmsg9OM/s320/875.jpg" border="0" /></a> <br /><div><span style="color:#3333ff;">-โคลน100%ลีกลงไปในใต้พื้นพิภพปฐพี ลี้ลับด้วยทะเลสาบใต้ดินที่แท้คือสายน้ำแร่อันทรงคุณค่าที่มนุษย์ค้นหา และพบว่าตะกอนโคลนที่ปนเปื้อนมากับน้ำใต้พิภพนั้นช่วยสร้างสรรค์ผิวพรรณให้ผุดผ่อง และช่วยการหมุนเวียนของโลหิตให้ชีวิตสดใสใครเลยจะรู้ว่า ทั้งปฐพีมีแหล่งโคลนเช่นนี้อยู่เพียงสามแห่งเท่านั้นในโลก และหนึ่งในสามแหล่งนั้น นั่นคือ ภูโคลน แหล่งโคลนสุขภาพของเมืองไทย...ภูโคลน จ.แม่ฮ่องสอนจากแหล่งโคลนสุขภาพของเมืองไทย ภูโคลน สู่ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงามจากธรรมชาติสำหรับคุณ ภูโคลนคือแหล่งน้ำแร่และโคลนธรรมชาติ ที่มาจากสายน้ำแร่ใต้พื้นดินที่มีความร้อนตั้งแต่ 60-140 องศาเซลเซียส เป็นโคลนเดือดบริสุทธิ์สีดำที่ขึ้นมาพร้อมกับสายน้ำแร่ธรรมชาติที่สะอาดไม่มีกลิ่นของกำมะถันซึ่งอุดมไปด้วยแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อผิวหนัง และระบบไหลเวียนโลหิตของมนุษย์คุณสมบัติโคลนสุขภาพ ใช้เพื่อผิวพรรณที่สะอาดใส เนียนนุ่มโดยมีคุณสมบัติสามารถดูดซับความมันส่วนเกินและสิ่งสกปรกที่ติดตามรูขุมขนอันเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิด สิว สิวเสี้ยน และริ้วรอยหมองคล้ำอีกทั้งส่วนผสมของแร่ธาตุที่สำคัญยังเป็นอาหารบำรุงเซลล์ผิวและช่วยกระตุ้นให้เซลส์ผิวทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อหน้าไม่มันปัญรายละเอียด คำแนะนำและวิธีใช้โคลนสุขภาพ เพื่อผิวพรรณสะอาดใส เนียนนุ่มและคงความชุ่มชื้นของสภาพผิวสู่สมดุลธรรมชาติ และยังสามารถดูดซับความมันส่วนเกินและสิ่งสกปรกที่ติดตามรูขุมขนอันเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวเสี้ยนและสิวอักเสบต่างๆ และริ้วรอยหมองคล้ำอีกทั้งส่วนผสมของแร่ธาตุที่สำคัญยังเป็นอาหารบำรุงเซลส์ผิวและช่วยกระตุ้นเซลส์ผิวทำงานอย่างมีประสิทธิภาพโคลนสุขภาพ ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติ 100%ไม่มีส่วนผสมหรือแต่งเติมสารสังเคราะห์ของสารเคมีใดๆ จึงเหมาะกับทุกสภาพผิววิธีใช้ 1. เตรียมส่วนผสมโคลน ลาโบเต้ 1 ช้อนชา เตรียมโยเกิร์ตรสธรรมชาติไม่มีผลไม้เจือปน 2 - 3 ช้อนชา นำโคลน ลาโบเต้ ผสมกับโยเกิตคนให้เข้ากัน (อาจใช้สมุนไพรไทย นำผึ้ง มะนาว หรือผักผลไม้ ปั่นเช่น แครอท ว่านหางจระเข้ ,แตงกวา )2. ล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด เช็ดให้แห้ง แล้วนำโคลน ที่ผสมไว้ทาให้ทั่วบริเวณใบหน้าทิ้งไว้ให้แห้งนานประมาณ 15 – 20 นาที3. ล้างออกด้วยน้ำสะอาด**สำหรับผิวแห้งควรใช้เฉพาะโยเกิตพอกหน้าอีกครั้งทิ้งไว้นานประมาณ 10 –15นาที4.ล้างออกด้วยน้ำสะอาดเช็ดให้แห้งเพื่อประสิทธิภาพสูงสุดควรใช้น้ำแร่ธรรมชาติ ลาโบเต้เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและปรับสภาพความสมดุลของผิวคำแนะนำการใช้ ผิวหน้าที่มีสภาพมันควรใช้ผลิตภัณฑ์ สัปดาห์ละ 2 ครั้งผิวหน้าที่มีสภาพปกติควรใช้ผลิตภัณฑ์ สัปดาห์ละ 1 ครั้งผิวหน้าที่มีสภาพแห้งควรใช้ผลิตภัณฑ์ 2 สัปดาห์ต่อ 1 ครั้ง</span></div>ประภัสสรา แคนติhttp://www.blogger.com/profile/14755432838640685043noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6877657788851898972.post-60904567089022021422011-04-01T04:24:00.000-07:002011-04-01T04:25:25.512-07:00<span style="color:#33cc00;">ทนาคา" พาสวยด้วยสมุนไพรสืบตำนานโบราณ... เน้นงามแบบผิวพม่าฯถ้าเป็นสมุนไพรไทยที่เกี่ยวกับผิวพรรณละก็ต้องนี่เลย "ขมิ้นชัน" แต่ถ้าเป็นสมุนไพรเคล็ดลับผิวสวยของพม่าก็ต้อง "ทนาคา" หรือ "กระแจะ" ไม้ยืนต้นขนาดเล็กที่เวลานี้ถูกนำมาเป็นส่วนผสม ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางหลายหลาก เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่า "ไม้ทนาคา" นั้น พม่าใช้ฝนกับหินผสมกับน้ำ ใช้ประทินผิวมาแต่โบราณ จนมีสำนวนเปรียบเทียบว่า "ผิวพม่านัยน์ตาแขก"ผิวสาวพม่าส่วนใหญ่จึงสวย เนียน และผิวค่อนข้างละเอียด เนื้อไม้ทนาคา ซึ่งเป็นสมุนไพรที่พบได้มาก จากทางฝั่งพม่า เมื่อตากแห้งสนิทและนำมาบดผงแล้วสามารถนำมาผสมทำครีมพอกหน้าได้อย่างวิเศษ สามารถผสม *น้ำผึ้ง(สำหรับคนผิวแห้ง)*น้ำมะขามเปียก(สำหรับผิวที่ด่างดำ)*ขมิ้นชัน(สำหรับผิวที่มีสิว)*นมสดรสจืด(สำหรับผิวที่ต้องการความนุ่มเนียน)*โยเกิร์ต (สำหรับผิวที่ต้องการความนุ่มและใส)เมื่อบดผสมจนเข้าเป็นเนื้อเดียวกันแล้ว ก็จะได้ครีมสำหรับพอกหน้าที่มีเนื้อสัมผัสไม่ถึงกับละเอียดนัก ทั้งนี้ เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกเผยผิวใหม่ เนื้อครีมอุดมไปด้วยสมุนไพร ที่มีสรรพคุณช่วยประทินผิว มีกลิ่นหอมสมุนไพรธรรมชาติ (ไม่แต่งกลิ่น) และไม่มีสารที่เป็นอันตรายต่อผิว"วิธีใช้ เพียงนำครีมผสมให้ข้น(ผสมครั้งต่อครั้ง ห้ามผสมทิ้งไว้) มาพอกทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แห้งแล้วใช้มือขัดออก ทำทุกวันก่อนอาบน้ำ แค่สัปดาห์เดียวจะรู้สึกว่าผิวหน้า ที่แห้งหยาบกร้าน กลับมาชุ่มชื้นมีน้ำมีนวล และดูเนียนขึ้น รูขุมขนกระชับขึ้น ส่วนริ้วรอยจากฝ้า หรือกระ ที่มีอยู่จะค่อยๆ จางลง</span>ประภัสสรา แคนติhttp://www.blogger.com/profile/14755432838640685043noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6877657788851898972.post-69014400463208706862011-04-01T04:23:00.000-07:002011-04-01T04:24:25.071-07:00<span style="color:#ff0000;">มังคุด"ผลไม้ที่ถูกยกย่องให้เป็น ราชินีของผลไม้ แต่นอกเหนือจากความอร่อยของเนื้อในมังคุดแล้ว เปลือกของมังคุดนั้น คนไทยเรายังได้รู้จักนำเอาเปลือกไปใช้ประโยชน์เป็นยารักษาโรคมานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการนำเอาเปลือกมังคุดมาใช้เป็นยาแก้ท้องเสีย แก้ท้องร่วง สรรพคุณที่โดดเด่นของเปลือกมังคุดที่เรารู้จักใช้กันมานานคือการใช้เปลือกมังคุดในการรักษาโรคผิว สิวต่างๆ บรรเทาอาการผดผื่น โดยใช้เปลือกมังคุดแห้งมาต้มน้ำอาบ หรือใช้น้ำต้มเปลือกมังคุดทาบริเวณที่มีอาการ และด้วยคุณสมบัติดังกล่าวนี้เอง เปลือกมังคุดจึงถูกดึงมาเป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์หลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น สบู่ที่ช่วยบรรเทาโรคผิวหนัง สบู่รักษาสิวฝ้า ซึ่งเป็นที่นิยมจริงๆแล้วเปลือกมังคุดได้รับการพิสูจน์และยืนยัน จากการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ค้นพบว่า รสฝาดในเปลือกมังคุดมีสารที่เรียกว่า แทนนิน(tannin)ซึ่งมีฤทธิ์สมานแผลช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น สารแซนโทน(Xanthon)ช่วยยับยั้งเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคผิวหนังได้ และสารที่มีชื่อเรียกเฉพาะชื่อเดียวกับมังคุดว่า แมงโกสติน (Mangostin) มีฤทธืช่วยลดการอักเสบ และต้านแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนองผลวิจัยจะพบว่าเปลือกมังคุด เปลือกทับทิม มีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่มาก มีคุณสมบัติการต้านอนุมูลอิสระที่เหมาะสมมากกว่าผลไม้ชนิดอื่นๆ และพบว่าเปลือกมังคุดประกอบด้วยสารธรรมชาติ GM-1 ซึ่งมี คุณสมบัติเด่น 4 ประการ คือ1. ระงับการเจริญของเชื้อแบคทีเรียต้นเหตุสิว2. ต้านการอักเสบ3. ต้านอนุมูลอิสระ4. ช่วยสมานผิว กระชับรูขุมขนวิธีใช้ ใช้ ผสมน้ำเปล่าเท่านั้นอย่าให้ข้นหรือใสเกินไป พอกหน้าจนแห้งแล้วล้างออก หรือแต้มหัวสิวหนอง ยุบทันใจใน1-2วัน</span>ประภัสสรา แคนติhttp://www.blogger.com/profile/14755432838640685043noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6877657788851898972.post-24157064955823113882011-04-01T04:20:00.000-07:002011-04-01T04:23:08.665-07:00สมุนไพรรักษาโรคผิวหนังอักเสบจากสิว<span style="font-size:100%;color:#993399;">สิวเป็นโรคเรื้อรัง พบบ่อยมากเป็นอันดับต้นๆ ของปัญหาโรคผิวหนัง มักเป็นในวัยรุ่น แต่บางครั้งเลยวัยรุ่นไปแล้วก็อาจเป็นได้ ลักษณะที่บ่งบอกว่าเป็นสิวคือ เป็นเม็ดสิวอุดตันที่เรียกกันว่า คอมมิโดน ถ้าเป็นเม็ดนูนเล็กๆ ไม่มีรูเปิดเรียก สิวหัวขาว ถ้ามีรูเปิดที่ผิวหนังมองเห็นเป็นจุดดำอยู่ตรงกลางเรียกสิวหัวดำ นอกจากนี้อาจเกิดเป็นตุ่มนูนเล็กๆ แดงๆ อาจเห็นเป็นตุ่มหนอง ,หรือตุ่มนูนแข็งเม็ดโต หรือตุ่มแดงอักเสบแบบถุงซีสต์ที่เรียกกันว่า สิวหัวช้าง สิวที่สร้างความวิตกมากคือ สิวบริเวณใบหน้า ซึ่งเป็นบริเวณที่พบบ่อย ในบางรายอาจเกิดบริเวณ คอ , หลัง, อก, สาเหตุที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ ฮอร์โมนเพศ เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น ต่อมไขมันโตเต็มที่ผลิตน้ำมันมากขึ้น ท่อของต่อมไขมันหนาตัวมีการอุดตัน น้ำมันระบายออกไม่ได้คั่งค้างอยู่ภายใน เชื้อแบคทีเรียที่อยู่บริเวณนี้แบ่งตัวเพิ่มขึ้น ย่อยสลายไขมันทำให้เกิดความระคายเคือง และท่อต่อมไขมันแตกออก กรดไขมันออกสู่บริเวณข้างเคียงเกิดเป็นสิวอักเสบขึ้น ความรุนแรงของสิวแต่ละคนแตกต่างกันไป บางรายเป็นมากบางรายเป็นน้อย สิวอักเสบอาจกำเริบได้ในช่วงมีความเครียด เช่น อดนอน หรือในผู้หญิงช่วงใกล้มีประจำเดือน นอกจากนี้การบีบแกะสิว จะกระทบกระเทือนและนำเชื้อโรคเกิดการอักเสบมากขึ้น และมีโอกาสเกิดรอยแผลเป็นเมื่อสิวหายแล้วสิวแบ่งเป็น 2 ชนิด1.สิวไม่อักเสบ เกิดจากการอุดตันของต่อมไขมัน (COMEDONE) แบ่งเป็น 2 ชนิด 1.1 สิวหัวปิด เห็นเป็นตุ่มเล็ก ๆ หัวขาว ๆ 1.2 สิวหัวเปิด หรือสิวหัวดำ 2.สิวอักเสบ คือสิวที่หัวแดง ๆ หรือ เป็นหนอง พวกนี้ก็คือ (COMEDONE) ที่มีการติดเชื้อ(BACTERIA) แทรกซ้อน ดังนั้น ถ้าเป็นสิวอักเสบ การทำความสะอาด ใบหน้าด้วยสบู่อ่อน ๆ และการป้องกันไม่ให้มีการอุดตันที่รูขุมขน (COMEDONE) โดยการใช้น้ำเปล่าล้างหน้าในตอนกลางวัน ก็พอจะช่วยให้สิวลดลงหรือป้องกันไม่ให้สิวใหม่เกิดขึ้น แต่ถ้าเป็นสิวอักเสบ คงต้องปรึกษาแพทย์ เพราะต้องใช้ปฏิชีวนะ (กินหรือทาแล้วแต่ความรุนแรงของสิว) สิวอักเสบควรจะต้องรีบรักษา ถ้าไปแกะหรือบีบหนองออก จะเป็นรอยแผลเป็น บุ๋มตลอดไป รักษายากมาก การนอนดึกทำให้สิวเพิ่มขึ้น ได้ ส่วนใหญ่จะเป็นสิวอักเสบ อาจเป็นเพราะ 1.ร่างกายอ่อนแอ เชื้อ Becteria ในสิวทำให้มีการอักเสบมากขึ้น 2.Hormone เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะใน ผู้หญิง ตัวอย่างเช่น บางคนประจำเดือน หรือขณะตั้งครรภ์ จะมีสิวเพิ่มขึ้น สมุนไพรที่ใช้รักษาสิวได้แก่ว่านหางจรเข้ล้างหน้าเช็ดให้แห้งด้วยผ้าสะอาด ใช้วุ้นจากใบสดทาบริเวณที่มีอาการ วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น ปล่อยให้แห้งโดยไม่ต้องล้างออกข้อควรระวัง ต้องล้างยางสีเหลืองจากขอบใบออกให้หมดก่อนใช้ เนื่องจากมีฤทธิ์ระคายเคืองมาก อาจทำให้เกิดการแพ้ สำหรับผู้ที่ผิวแพ้ง่าย อาจทดลองทาวุ้นบริเวณท้องแขนดูก่อน หากมีผื่นแดงหรือคันไม่ควรใช้ทาหน้า</span>ประภัสสรา แคนติhttp://www.blogger.com/profile/14755432838640685043noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6877657788851898972.post-78081295352737975072011-03-29T02:16:00.000-07:002011-03-29T02:18:51.512-07:00สมุนไพรไทย : หอมแดงลดไข้หวัด<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi096edO4w3yvrG0HWyXF1CnNjcPJC1If2mbL-bdk0MidquLvnJfrURO0fyqZpXpqFgnmlG6w5U-oH-hrC7zi8ma4w_pur5-espI5U4AuraGX_1Yrr1DX2SAgWV28mjSYdmJugT7khghRk/s1600/CB_CD_C1_E1_B4_A7_small.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5589428688215945538" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 217px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi096edO4w3yvrG0HWyXF1CnNjcPJC1If2mbL-bdk0MidquLvnJfrURO0fyqZpXpqFgnmlG6w5U-oH-hrC7zi8ma4w_pur5-espI5U4AuraGX_1Yrr1DX2SAgWV28mjSYdmJugT7khghRk/s320/CB_CD_C1_E1_B4_A7_small.jpg" border="0" /></a> <br /><div><span style="color:#ff0000;">ควรรับประทานหอมแดงมากๆ เพราะช่วยลดอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล อาจต้องอาศัยน้ำมะนาวช่วยอีกแรง เพื่อลดอาการเจ็บคอ </span></div>ประภัสสรา แคนติhttp://www.blogger.com/profile/14755432838640685043noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6877657788851898972.post-59660874920123212922011-03-29T02:14:00.001-07:002011-03-29T02:16:30.559-07:00สูตรอาหาร : ผัดผักสูตรกวางตุ้ง<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg_448odR0XkB2REViOtsQXoZPyMH42SvlxXTuF-Ppz3Nwru79g51g0RvxbCVpRECcsTHORb1b_R7kQ7DjVqhUdpp4Dx3SnkM_lJEIUBLk75ROu0hwLwHBVwxehZbXKtJ7MCr9mKGMuaoM/s1600/bc-d1-b4-bc-d1-a1-ca-d9-b5-c3-a1-c7-d2-a7-b5-d8-e9-a7-small.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5589428025470861138" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 183px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg_448odR0XkB2REViOtsQXoZPyMH42SvlxXTuF-Ppz3Nwru79g51g0RvxbCVpRECcsTHORb1b_R7kQ7DjVqhUdpp4Dx3SnkM_lJEIUBLk75ROu0hwLwHBVwxehZbXKtJ7MCr9mKGMuaoM/s320/bc-d1-b4-bc-d1-a1-ca-d9-b5-c3-a1-c7-d2-a7-b5-d8-e9-a7-small.jpg" border="0" /></a> <span style="color:#cc33cc;">ส่วนผสม ผักบุ้งจีน 4 ขีด ขิงดอง 30 กรัม กระเทียมสับ 3–4 กลีบ น้ำมันงา 1 ช้อนโต๊ะ แป้งข้าวโพด 1 ช้อนชา น้ำส้มสายชู 3 ช้อนโต๊ะ ถั่วงอก 1 ขีดครึ่ง พริกหวานเหลืองและแดง อย่างละ 1 ลูกหั่นเป็นวง น้ำตาล 3 ช้อนโต๊ะ เกลือ 1 ช้อนชา เหล้าจีนสำหรับปรุงอาหาร วิธีทำ เด็ดใบผักบุ้งออกให้หมดเหลือแต่ก้าน นำไปหั่นเป็นท่อน พักไว้ ตั้งกระทะเติมน้ำมัน 1 ช้อนโต๊ะ นำถั่วงอกลงผัด กลับเร็วๆ 2–3 ครั้ง เหยาะเหล้าจีน ตักขึ้นพักไว้ เติมน้ำมันอีก 2 ช้อนโต๊ะ นำพริกหวานลงผัด พอสลดตักขึ้นพักไว้ เจียวกระเทียมแล้วนำผักบุ้งลงผัด เติมเกลือ พอสลด ให้ใส่พริกหวาน ขิงดอง และถั่วงอกลงไป เติมเครื่องปรุงอื่นๆ ผัดให้เข้ากัน ยกลง ตักเสิร์ฟ สรรพคุณ เหมาะกับผู้ที่มีคอเลสเตอรอลสูง เพราะเป็นอาหารที่มีเส้นใยสูง </span><br /><div></div>ประภัสสรา แคนติhttp://www.blogger.com/profile/14755432838640685043noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6877657788851898972.post-15929603018607879482011-03-29T02:11:00.000-07:002011-03-29T02:14:06.365-07:00อาหารเพื่อสุขภาพ : หุ่นสวยด้วยน้ำกระเจี๊ยบ<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhciDbIZaaQYQfkIPNq_Di3SVWz36aaRXNORh0Mx0v_fwvM3ausBGlSfsa26196PPDR9ZimO868sBvEqiXhVStA9aB5fPyKLXczb6Mt7tOtkQxWSKP0TSznYhzpDguq2TMMtda_hbgDSMY/s1600/kajeab_small.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5589427343000283634" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 300px; CURSOR: hand; HEIGHT: 225px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhciDbIZaaQYQfkIPNq_Di3SVWz36aaRXNORh0Mx0v_fwvM3ausBGlSfsa26196PPDR9ZimO868sBvEqiXhVStA9aB5fPyKLXczb6Mt7tOtkQxWSKP0TSznYhzpDguq2TMMtda_hbgDSMY/s320/kajeab_small.jpg" border="0" /></a> <br /><div><a title="อาหารเพื่อสุขภาพ : หุ่นสวยด้วยน้ำกระเจี๊ยบ" style="CURSOR: pointer" href="http://www.hilunch.com/kra-jeab"><span style="color:#33cc00;">อาหารเพื่อสุขภาพ : หุ่นสวยด้วยน้ำกระเจี๊ยบ</span></a><span style="color:#33cc00;"> </span></div><br /><div><span style="color:#33cc00;"></span></div><br /><div><span style="color:#33cc00;">สาวๆ ที่อยากมีหุ่นดี ฟังทางนี้ค่ะ น้ำสมุนไพรจากดอกกระเจี๊ยบแดง มีสรรพคุณที่น่าทึ่งอยู่หลายประการ ซึ่งล้วนแต่มีความสัมพันธ์กับการควบคุมน้ำหนัก ทั้งช่วยลดไขมันในเส้นเลือด เป็นยาระบายอ่อนๆ ช่วยขับปัสสาวะ และลดการเกิดนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณอีกมากมาย คือ ช่วยคลายความตึงเครียดให้กับกล้ามเนื้อ ช่วยให้ระบบหายใจทำงานได้ดีขึ้น ป้องกันการเกิดโรคเบาหวาน โรคเส้นเลือดตีบ รวมไปถึงยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้อีกด้วย รู้อย่างนี้แล้วเทน้ำอัดลมในแก้วทิ้งไป แล้วหันมาดื่มน้ำกระเจี๊ยบแทนดีกว่าค่ะ เผื่อว่า summer นี้จะได้ใส่บิกินี อวดหุ่นได้อย่างไม่ต้องเกรงใจใคร</span></div><br /><div></div><br /><div></div><br /><div></div>ประภัสสรา แคนติhttp://www.blogger.com/profile/14755432838640685043noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6877657788851898972.post-3658293508939300602011-03-29T02:08:00.000-07:002011-03-29T02:11:05.952-07:00กระเทียม ต้านสารพิษ<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj1ABSDOg4ZTBk4aSHzahwBxA7cL0r9BvD7uEk1KMq22ZN7PLVwUerEzK7hsStbm9IxiLOnlrs0gIpie6pLHpmfeeBNEqHEhn7lpx4DFNeCMPlxuqrMALcDVnYiH7v2ZTCgQRwkOUDM0pg/s1600/garlic2_small.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5589426720885431026" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 181px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj1ABSDOg4ZTBk4aSHzahwBxA7cL0r9BvD7uEk1KMq22ZN7PLVwUerEzK7hsStbm9IxiLOnlrs0gIpie6pLHpmfeeBNEqHEhn7lpx4DFNeCMPlxuqrMALcDVnYiH7v2ZTCgQRwkOUDM0pg/s320/garlic2_small.jpg" border="0" /></a> <br /><div><a title="กระเทียม ต้านสารพิษ" style="CURSOR: pointer" href="http://www.hilunch.com/uses-of-garlic"><span style="color:#cc33cc;">กระเทียม ต้านสารพิษ</span></a> </div><br /><div><span style="color:#996633;">จากหลายการศึกษาวิจัย ให้ผลตรงกันถึงคุณสมบัติของกระเทียมในการทำความสะอาดร่างกาย นั่นคือการกินกระเทียมเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ขับและฆ่าพยาธิในทางเดินอาหารและฆ่าเชื้อไวรัส โดยเฉพาะทำความสะอาดเลือดและระบบลำไส้ ทำให้เส้นเลือดมีความยืดหยุ่นและลดแรงดันโลหิต นอกจากนี้ยังต่อต้านการเกิดมะเร็งและทำให้ระบบทางเดินหายใจดีขึ้น แต่ก็ควรระวังเรื่องการกินกระเทียมมากเกินไป ซึ่งอาจก่อให้เกิดลมหายใจที่มีกลิ่นกระเทียมไปด้วย </span></div>ประภัสสรา แคนติhttp://www.blogger.com/profile/14755432838640685043noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6877657788851898972.post-71689063529359799772011-03-29T02:06:00.000-07:002011-03-29T02:08:19.141-07:00กินอาหารลดความอ้วน ด้วยเมนูอาหารที่ให้พลังงานต่ำ<a title="กินอาหารลดความอ้วน ด้วยเมนูอาหารที่ให้พลังงานต่ำ" style="CURSOR: pointer" href="http://www.hilunch.com/%e0%b8%81%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b8%ad%e0%b8%b2%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%a5%e0%b8%94%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%ad%e0%b9%89%e0%b8%a7%e0%b8%99-%e0%b8%94%e0%b9%89%e0%b8%a7%e0%b8%a2">กินอาหารลดความอ้วน ด้วยเมนูอาหารที่ให้พลังงานต่ำ</a> <span style="color:#ff0000;">เทศกาลต้อนรับปีใหม่ ปี 2552 หลายคนคงหลีกเลี่ยงงานสังสรรค์ได้ยาก เพราะช่วงเวลานี้เป็นเวลาที่ได้มาพบปะกันพร้อมหน้าพร้อมตา โดยเฉพาะคนในครอบครัว ญาติ พี่น้อง เพื่อน ๆ คุยไปกินไปยิ่งทำให้เจริญอาหารทานมากกว่าปกติ แต่อาหารต่อไปนี้เป็นเมนูอาหารที่ให้พลังงานต่ำ ที่คุณสามารถเลือกรับประทานได้ในงานเลี้ยงค่ะ1. อาหารประเภทต้ม ให้พลังงานไม่เกิน 200 กิโลแคลอรี่ เช่น ต้มยำกุ้งน้ำใส ต้มยำปลาช่อนน้ำใส แกงเหลืองปักษ์ใต้ แกงจืดตำลึงวุ้นเส้น แกงจืดลูกรอก แกงจืดมะระยัดไส้ ไก่ต้มฟักมะนาวดอง สุกี้ เป็นต้นให้พลังงานไม่เกิน 300 กิโลแคลอรี่ เช่น กระเพาะปลา ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นน้ำใส วุ้นเส้นต้มยำ ก๋วยเตี๋ยวหลอดทรงเครื่อง เกาเหลาเลือดหมู (ไม่ใส่เครื่องใน) ก๋วยเตี๋ยวเป็ดตุ๋นน้ำ ขนมจีนน้ำเงี้ยว2. อาหารประเภทยำให้พลังงานไม่เกิน 200 กิโลแคลอรี่ เช่น ส้มตำไทย ยำตะไคร้ ยำมะระ ยำผักหวาน ยำสมุนไพร ลาบไก่ พล่ากุ้ง3. อาหารประเภทนึ่ง ให้พลังงานไม่เกิน 300 กิโลแคลอรี่ เช่น เต้าหู้นึ่งทรงเครื่อง ปลานึ่งสมุนไพร ปลากะพงนึ่งมะนาว ปลาช่อนนึ่งจิ้มแจ่ว ปลาทับทิมนึ่งซีอิ้ว ปลากะพงนึ่งบ๊วย4. อาหารประเภทน้ำพริกให้พลังงานไม่เกิน 200 กิโลแคลอรี่ เช่น น้ำพริกปลาร้า น้ำพริกหนุ่ม น้ำพริกกุ้งสด น้ำพริกมะขาม น้ำพริกตะไคร้ น้ำพริกปลาทู น้ำพริกลงเรือ น้ำพริกกุ้งเสียบ 5. อาหารประเภทอื่น ๆให้พลังงานไม่เกิน 200 กิโลแคลอรี่ เช่น ปลากะพงลวกจิ้ม ปลาสำลีเผาไก่ตุ๋นมะนาวดอง ไข่ตุ๋นฟักทอง เมี่ยงปลาทู เมี่ยงคะน้า ที่ สำคัญอย่าคิดเข้าข้างตัวเอง ว่าไม่เป็นไรหรอกกินวันนี้เยอะเดี๋ยวค่อยไปลดวันอื่นก็ได้ เพราะพอเอาเข้าจริง ๆ คุณอาจมีงานเลี้ยงหรือของกินอร่อย ๆ ในวันอื่นอีก จำไว้ว่าถ้าคุณกินมากเกินไป อย่ากิน 2 มื้อในวันนั้น ๆ เมื่อรู้ตัวว่ากินเยอะมาแล้วในมื้อที่ผ่านมา มื้อต่อไปควรลดปริมาณข้างลงหรือไม่กินข้าว แล้วเลือกกินเฉพาะกับข้าวที่มีผัก ถ้าปล่อยไปทั้งวัน น้ำหนักขึ้นแน่ ๆ </span>ประภัสสรา แคนติhttp://www.blogger.com/profile/14755432838640685043noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6877657788851898972.post-35797533767463702562011-03-29T02:03:00.000-07:002011-03-29T02:06:43.412-07:0010 สุดยอดผลไม้ที่กินแล้วไม่อ้วน<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhB3IDaE2SQBj6CoGSbIQqVh-sHp5dCiv35T6geyLjmevM8z33JD6bHcGD09qPA36TOmx3_tcejVIrGWJ97ibRgkBOXzOo5e5VqUonGt736dVQS4N9WK2E_UlqygHhk6zMhG7LDjcN9A7c/s1600/bc-c5-e4-c1-e9-small.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5589425420773664786" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 271px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhB3IDaE2SQBj6CoGSbIQqVh-sHp5dCiv35T6geyLjmevM8z33JD6bHcGD09qPA36TOmx3_tcejVIrGWJ97ibRgkBOXzOo5e5VqUonGt736dVQS4N9WK2E_UlqygHhk6zMhG7LDjcN9A7c/s320/bc-c5-e4-c1-e9-small.jpg" border="0" /></a> <br /><div><a title="10 สุดยอดผลไม้ที่กินแล้วไม่อ้วน" style="CURSOR: pointer" href="http://www.hilunch.com/10-fruits-no-fat"><span style="color:#ff6600;">10 สุดยอดผลไม้ที่กินแล้วไม่อ้วน</span></a> </div><br /><p><span style="color:#993399;">ผลไม้ 10 ชนิดต่อไปนี้ จัดเป็นผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามินและเกลือแร่ และ กินได้บ่อยๆ แบบไม่ต้องกลัวอ้วน ทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์และเพิ่มภูมิคุ้มกันอีกด้วย ผลไม้ทั้ง 10 ชนิดนี้มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตเฉลี่ย 1.9 – 10 กรัมต่อน้ำหนัก 100 กรัม โดยอะโวกาโดมีคาร์โบไฮเดรตต่ำสุด แอปเปิลมีคาร์โบไฮเดรตสูงสุด</span></p><br /><p><span style="color:#993399;">กีวี - มีสารแอกทินิดีน ที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันทำให้หัวใจแข็งแรง มะเขือเทศ - ช่วยลดความเสียงจากมะเร็งและโรคหัวใจ มะละกอ – ช่วยย่อยอาหารและโปรตีน อะโวกาโด – ช่วยยับยั้งสารก่อมะเร็งชนิดต่างๆ ได้ถึง 30 ชนิด สับปะรด – ช่วยต้านเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย ผลไม้จำพวกเบอร์รี่ – เช่น สตอเบอร์รี่ แบลคเบอร์รี่ ผลไม้กลุ่มนี้ดีต่อระบบไหลเวียนโลหิต แครนเบอร์รี่ – ช่วยป้องกันนิ่วในไต ต้านเชื้อไวรัส ผลไม้ตระกูลส้ม – ช่วยลดคอเลสเตอรอล และไขมันในเส้นเลือด ผลไม้กลุ่มแตง – มีสรรพคุณสูงสุดในการล้างพิษให้กับร่างกาย แอปเปิ้ล – ช่วยทำความสะอาดระบบย่อยอาหาร </span></p>ประภัสสรา แคนติhttp://www.blogger.com/profile/14755432838640685043noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6877657788851898972.post-65269809943278051712011-03-29T01:57:00.000-07:002011-03-29T02:03:20.708-07:00ลดน้ำหนักอย่างไรให้ได้ผล<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjIQK9Gty9c8biBIaIWfTy69fcPZmTt_aw2zqDcnmJG7zjXSdBg2tWH28Ea6Oq4KZtmQW1qRtysmX8BPCUnc3F8otebHfSGL4ioFYb-E2-9y_DDGXHs1p3Eod6unOUEr7S-WSBHJqsjZGI/s1600/fat_2Dkids_small.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5589424211784128610" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 300px; CURSOR: hand; HEIGHT: 212px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjIQK9Gty9c8biBIaIWfTy69fcPZmTt_aw2zqDcnmJG7zjXSdBg2tWH28Ea6Oq4KZtmQW1qRtysmX8BPCUnc3F8otebHfSGL4ioFYb-E2-9y_DDGXHs1p3Eod6unOUEr7S-WSBHJqsjZGI/s320/fat_2Dkids_small.jpg" border="0" /></a> <br /><div><a title="ลดน้ำหนักอย่างไรให้ได้ผล" style="CURSOR: pointer" href="http://www.hilunch.com/how-to-fat-loss"><span style="color:#ff0000;">ลดน้ำหนักอย่างไรให้ได้ผล</span></a> </div><br /><div><span style="color:#000099;">ปัญหาเรื่องน้ำหนักตัวเป็นปัญหาที่ติดตามกวนใจสำหรับหลายๆคน เนื่องจากการที่เรามีน้ำหนักตัวที่มากจะตามมาด้วยปัญหามากมายตั้งแต่เรื่องเกี่ยวกับบคุคลิกภายนอก หรือกระทั้งโรคภัยไข้เจ็บที่มีสาเหตุมาจากไขมัน และคอเรสเตอรอล</span></div><br /><div><span style="color:#000099;">ก่อนที่เราจะลดน้ำหนักเราควรพิจรณาถึงต้นตอของการที่ทำให้น้ำหนักของตัวเราขึ้นตลอดเวลา ซึ่งแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไป เช่น 1. น้ำหนักขึ้นเนื่องจาก ทานอาหารมาก2. น้ำหนักขึ้นเนื่องจาก ทานอาหารบ่อย3. น้ำหนักขึ้นเนื่องจาก ดื่มน้ำหวาน4. น้ำหนักขึ้นเนื่องจาก ทานขนมหวาน5. น้ำหนักขึ้นเนื่องจาก ไม่ได้ออกกำลังกาย เมื่อเรารู้ถึงสาเหตุหลักเหล่านี้แล้ว เราเริ่มทำทั้งหมดพร้อมกันจะช่วยทำให้น้ำหนักเราลดลงอย่างรวดเร็ว แต่ก็เป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับคนที่ใช้พฤติกรรมแบบเดิมมาเป็นเวลานาน ดังนั้นการค่อยๆ ปรับเปลี่ยนจะช่วยให้การลดน้ำหนักได้ผลดียิ่งขึ้น และมั่นใจได้ว่าจะไม่ล้มเลิกกลางคัน โดยอาจจะเริ่มทำข้อคิดว่าง่ายที่สุด และส่งผลต่อชีวิตประจำวันน้อยที่สุดก่อน เช่นเริ่มจากข้อ 3 หากแต่เดิมชอบทานแต่น้ำหวานอาจจะเปลี่ยนมาเป็นน้ำเปล่า หรือน้ำดื่มสุขภาพที่มีน้ำตาลน้อยมากแทน หากทนไม่ไหวจริงๆ อาจจะเริ่มจากลดจำนวนลง เช่นเปลี่ยนเป็นดื่มวันเว้นวัน ก็จะทำได้ง่ายยิ่งขึ้น แต่สุดท้ายการลดน้ำหนักให้ได้ผลจะต้องกำจัดต้นตอของปัญหาน้ำหนักตัวให้ได้ทั้งหมด แล้วสิ่งที่ตามมาคือรูปร่างที่ได้สัดส่วนไม่อ้วนพลี และสุขภาพที่ดีจากร่างกายที่แข็งแรง ต่อให้ใช้เวลานานแค่ไหนก็คุ้มค่าที่จะทำครับ</span></div>ประภัสสรา แคนติhttp://www.blogger.com/profile/14755432838640685043noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6877657788851898972.post-19661802847181618202011-01-18T23:36:00.000-08:002011-01-18T23:53:44.972-08:00<p> </p><p> สต๊อกสินค้า</p><p><a href="http://www.4shared.com/file/dVtJOawe/_online.html">http://www.4shared.com/file/dVtJOawe/_online.html</a></p><p> </p>เกมกระดาน 100 ช่อง<br /><a href="http://www.4shared.com/file/01H5UK7f/xlsgdf.html">http://www.4shared.com/file/01H5UK7f/xlsgdf.html</a><br /><br /><br />เกมค้นหาอุปกรณ์กีฬา<br /><a href="http://www.4shared.com/file/cS9Ar7JU/_100_m53_22_xls.html">http://www.4shared.com/file/cS9Ar7JU/_100_m53_22_xls.html</a><br /><br /><br />บัญชีพอเพียง<br /><a href="http://www.4shared.com/file/5ThwWTsw/_M5__22.html">http://www.4shared.com/file/5ThwWTsw/_M5__22.html</a><br /><br /><br />Sudoku<br /><a href="http://www.4shared.com/file/WOl2mVAT/Sudoku4kid_M53_22.html">http://www.4shared.com/file/WOl2mVAT/Sudoku4kid_M53_22.html</a>ประภัสสรา แคนติhttp://www.blogger.com/profile/14755432838640685043noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6877657788851898972.post-21321103858543680652010-11-10T19:38:00.000-08:002010-11-10T19:50:37.658-08:00<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhIvfMtxolHETQK-3b47_vGApnB0FLu1tA9AfjlqJr2km9Qg4fZMWkUrapAUSJygIv4kO_uI7LScfuoSrwJ0VKOjEkqgELive_yMp2r2q72tW9-V0EaoIiESZGV4siMTwCr5gvVW6ar6Cg/s1600/hb_111.jpg"><img style="MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 320px; FLOAT: left; HEIGHT: 81px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5538134111290888946" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhIvfMtxolHETQK-3b47_vGApnB0FLu1tA9AfjlqJr2km9Qg4fZMWkUrapAUSJygIv4kO_uI7LScfuoSrwJ0VKOjEkqgELive_yMp2r2q72tW9-V0EaoIiESZGV4siMTwCr5gvVW6ar6Cg/s320/hb_111.jpg" /></a><br /><div><span style="color:#ffcc33;"><span style="color:#ff0000;">ขิง<br /><br />ชื่อวิทยาศาสตร์ : Zingiber officinale Roscoe<br /><br />ชื่อสามัญ : Ginger<br /><br />วงศ์ : Zingiberaceae<br /><br />ชื่ออื่น : ขิงแกลง ขิงแดง (จันทบุรี) ขิงเผือก (เชียงใหม่) สะเอ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)<br /><br />ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ล้มลุก มีเหง้าใต้ดิน สีน้ำตาลแกมเหลือง เนื้อในสีนวล มีกลิ่นเฉพาะ จะแทงหน่อหรือลำต้นเทียมขึ้นมาเหนือพื้นดิน ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปขอบขนาน แกมรูปใบหอก กว้าง 1.5-2 ซม. ยาว 15-20 ซม. ขอบใบเรียบ แผ่นใบสีเขียวเข้มเป็นมัน ดอก ออกเป็นช่อ แทงออกจากเหง้าใต้ดิน ใบประดับเรียงเวียนสลับสีเขียวอ่อน ดอกสีเหลืองแกมเขียว ผล เป็นผลแห้ง ทรงกลม ขนาดประมาณ 1 ซม. เป็น 3 พู เมล็ดหลายเมล็ด<br />ส่วนที่ใช้ : เหง้าแก่สด ต้น ใบ ดอก ผล<br /><br /><br />สรรพคุณ :<br /><br />เหง้าแก่สด<br />- ยาแก้อาเจียน<br />- ยาขมเจริญอาหาร<br />- ยาแก้ท้องขึ้น ท้องอืดเฟ้อ ขับลม<br />- แก้ไอ ขับเสมหะ บำรุงธาตุ<br />- สามารถต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ลดอาการจุกเสียดได้ดี<br />- มีฤทธิ์ในการขับน้ำดี เพื่อย่อยอาหาร<br />- แก้ปากคอเปื่อย แก้ท้องผูก<br />- ลดความดันโลหิต<br /><br />ต้น - ขับผายลม แก้จุกเสียดแน่นเฟ้อ แก้นิ่ว บำรุงไฟธาตุ แก้คอเปื่อย ช่วยย่อยอาหาร ฆ่าพยาธิ แก้โรคตา แก้บิด แก้ลมป่วง แก้ท้องร่วงอย่างแรง แก้อาเจียน<br /><br />ใบ - แก้โรคกำเดา ขับผายลม แก้นิ่วแก้เบาขัด แก้คอเปื่อย บำรุงไฟธาตุ ช่วยย่อยอาหาร ฆ่าพยาธิ แก้โรคตา ขับลมในลำไส้<br /><br />ดอก - ทำให้ชุ่มชื่น แก้โรคตาแฉะ ฆ่าพยาธิ ช่วยย่อยอาหาร แก้คอเปื่อย บำรุงไฟธาตุ แก้นิ่ว แก้เบาขัด แก้บิด<br /><br />ผล - แก้ไข้<br /><br />วิธีและปริมาณที่ใช้ :<br /><br />ยาแก้อาเจียน<br />ใช้ขิงแก่สด หรือแห้ง ขิงสดขนาดหัวแม่มือ (ประมาณ 5 กรัม) ทุบให้แตก ถ้าแห้ง 5-7 ชิ้น ต้มกับน้ำดื่ม<br />นำขิงสด 3 หัว หัวโตยาวประมาณ 5 นิ้ว ใส่น้ำ 1 แก้ว ต้มจนเหลือ 1/2 แก้ว (ประมาณ 15-20 นาที หลังจากเดือดแล้ว) รินเอาน้ำดื่ม<br /><br />ยาขมเจริญอาหาร<br />ใช้เหง้าสดประมาณ 1 องคุลี ถ้าผงแห้งใช้ 1/2 ช้อนโต๊ะ หรือประมาณ 0.6 กรัม<br />ผงแห้งชงกับน้ำดื่ม เหง้าสดต้มน้ำ หรือปรุงอาหาร เช่น ผัด หรือรับประทานสดๆ เช่น กับลาบ แหนม และอื่นๆ<br /><br />แก้อาการท้องอืดเฟ้อ จุกเสียดและปวดท้อง<br />- น้ำกระสายขิง น้ำขิง 30 กรัม มาชงด้วยน้ำเดือด 500 ซีซี ชงแช่ไว้นาน 1 ชั่วโมง กรองรับประทานครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ<br />- ใช้ขิงแก่ต้มกับน้ำ รินน้ำดื่มแก้โรคจุกเสียด ทำให้หลับสบาย<br />- ขิงแก่ยาว 2 นิ้ว ทุบพอแหลก เทน้ำเดือดลงไปครึ่งแก้ว ปิดฝา ตั้งทิ้งไว้นาน 5 นาที รินเอาแต่น้ำมาดื่มระหว่างอาหารแต่ละมื้อ<br />- ใช้ผงขิงแห้ง 1 ช้อนโต๊ะปาดๆ หรือ 0.6 กรัม ถ้าขิงแก่สดยาวประมาณ 1 องคุลี หรือประมาณ 5 กรัม ต้มกับน้ำ เติมน้ำตาลดื่มทุกๆ วัน ถ้าเป็นผงขิงแห้งให้ชงน้ำร้อน เติมน้ำตาลดื่ม<br /><br />แก้ไอและขับเสมหะ<br />ใช้ขิงสดฝนกับน้ำมะนาว แทรกเกลือ ใช้กวาดคอหรือจิบบ่อยๆ<br /><br />ลดความดันโลหิต<br />ใช้ขิงสดเอามาฝานต้มกับน้ำรับประทาน</span><br /></span></div><br /><div></div>ประภัสสรา แคนติhttp://www.blogger.com/profile/14755432838640685043noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6877657788851898972.post-31989843282498380352010-11-10T19:27:00.000-08:002010-11-10T19:37:48.051-08:00อุปกรณ์กีฬา<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj_uah9RJwmrJqhzY2lKd8W_34ah4_A7QhSXD1-uFXVrtrBoWO6tBBBRyQZOrYNWlicwHd6bAH5ZnsBNyHOaoGppBrm4SzKqpdvFvNeKueoYmCmwYoESWgz2wMAfcYdcaMK3jYXFP_wTNs/s1600/W2FZM5CAQWCA4ECAEAZN0ACAFAG2D0CA6T5ZNXCAKNBKR3CASCYT29CAEOODSBCAYQD82PCAXI9JTICA46YYBNCA2G2Z81CALDLYS6CARV51FSCAFGW594CAJR3IOQCAYFPHUACAHXW01OCA0AV2AN.jpg"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 225px; DISPLAY: block; HEIGHT: 225px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5538131134603053234" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj_uah9RJwmrJqhzY2lKd8W_34ah4_A7QhSXD1-uFXVrtrBoWO6tBBBRyQZOrYNWlicwHd6bAH5ZnsBNyHOaoGppBrm4SzKqpdvFvNeKueoYmCmwYoESWgz2wMAfcYdcaMK3jYXFP_wTNs/s320/W2FZM5CAQWCA4ECAEAZN0ACAFAG2D0CA6T5ZNXCAKNBKR3CASCYT29CAEOODSBCAYQD82PCAXI9JTICA46YYBNCA2G2Z81CALDLYS6CARV51FSCAFGW594CAJR3IOQCAYFPHUACAHXW01OCA0AV2AN.jpg" /></a><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg55qUNR9CoJtZZ7llHwilJEwpf5vyMUYZOig2GTX9RcxnDrxVvfldJREe4KKd7texIs7GVoy2OwY3RgYZwBiS0nvv4bMu6J1v4ufgBCj3aVgVXO_t_h8mb2ojZ3gTndm0aPkT4SAMTeWg/s1600/QP7KJJCALSJ3JRCAZZTQ1ECAHFF84GCA2ST8KRCA9M70BOCA3XDFGVCANHYZD2CA5GN647CAMKU0CICAB7NRB3CAS4T9M9CA52TX4ECAPOJRNFCAB8C0VTCA1TKJ9WCAEUEOAOCA6UTV1QCAN2IL34.jpg"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 167px; DISPLAY: block; HEIGHT: 167px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5538130971962192354" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg55qUNR9CoJtZZ7llHwilJEwpf5vyMUYZOig2GTX9RcxnDrxVvfldJREe4KKd7texIs7GVoy2OwY3RgYZwBiS0nvv4bMu6J1v4ufgBCj3aVgVXO_t_h8mb2ojZ3gTndm0aPkT4SAMTeWg/s320/QP7KJJCALSJ3JRCAZZTQ1ECAHFF84GCA2ST8KRCA9M70BOCA3XDFGVCANHYZD2CA5GN647CAMKU0CICAB7NRB3CAS4T9M9CA52TX4ECAPOJRNFCAB8C0VTCA1TKJ9WCAEUEOAOCA6UTV1QCAN2IL34.jpg" /></a><br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEirTjDRJyC9gblqi2SElzoqytLIq7EpyOKVR6dQcPMSYMsMSg6XPhKDz0FbR_ek5kLwQU0RBox-aRgQiUg0_KEzOS_hnZ2tujOF072RJxv9lfEZyUKb74jnGuAeEojDr-kzu4EomYYeQD0/s1600/OFJPNZCARKR6X7CAKQRX7LCAUS7YGWCA2YVK83CAA7WU28CAT29NOTCAF14K5HCAK0T4BOCAGNL9SZCA5I34MWCA7A4JP3CALZ1X37CACM2W3HCA88GWKDCAX6AIFOCA5NLVQKCAAFSP2UCAT3L16C.jpg"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 224px; DISPLAY: block; HEIGHT: 224px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5538130824713377666" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEirTjDRJyC9gblqi2SElzoqytLIq7EpyOKVR6dQcPMSYMsMSg6XPhKDz0FbR_ek5kLwQU0RBox-aRgQiUg0_KEzOS_hnZ2tujOF072RJxv9lfEZyUKb74jnGuAeEojDr-kzu4EomYYeQD0/s320/OFJPNZCARKR6X7CAKQRX7LCAUS7YGWCA2YVK83CAA7WU28CAT29NOTCAF14K5HCAK0T4BOCAGNL9SZCA5I34MWCA7A4JP3CALZ1X37CACM2W3HCA88GWKDCAX6AIFOCA5NLVQKCAAFSP2UCAT3L16C.jpg" /></a><br /><br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhN15GrycyQ67Eoi_3BkIKyvVLnHvLDPLSOCT5zlhRKYKAt_tcIOUdeYMi9PpeSMCuhuAXmqF32JZj_FA3c_n3jzT_C45n76s1CUSji_QWCs1CIxMsdl2aGoZXo7uxo5HM6QFPrLBBHWX8/s1600/IO31JTCAEMJEZ6CAKFU7WLCABADDX8CA34Z0XSCA181U70CAXGJN7XCAGBE172CA6VIWKICA8Q9H1ECAQGL01OCAKIFHN1CAD8GOELCARWHBQ2CA47V60PCATZ7ZRICAZ80UT6CAWSISKCCA16NPMY.jpg"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 225px; DISPLAY: block; HEIGHT: 225px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5538130700008456866" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhN15GrycyQ67Eoi_3BkIKyvVLnHvLDPLSOCT5zlhRKYKAt_tcIOUdeYMi9PpeSMCuhuAXmqF32JZj_FA3c_n3jzT_C45n76s1CUSji_QWCs1CIxMsdl2aGoZXo7uxo5HM6QFPrLBBHWX8/s320/IO31JTCAEMJEZ6CAKFU7WLCABADDX8CA34Z0XSCA181U70CAXGJN7XCAGBE172CA6VIWKICA8Q9H1ECAQGL01OCAKIFHN1CAD8GOELCARWHBQ2CA47V60PCATZ7ZRICAZ80UT6CAWSISKCCA16NPMY.jpg" /></a><br /><br /><br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgC_BKN2xZHn8_DoV5Vb1X8UrAAXmGiTKezQsLtczBY1xJy3RY1YoH5kN2YcDkA3uFY0bKsfELoO0GzUFOw1NqNVL-LFzAVopfzb0XDlSFtLU8oEdK3mFi8smlw8x5rC6-7JGq_bagX2y0/s1600/EBP9N6CA25VPEMCAYAH203CA3WLC9ACARDZ5L4CA58041ZCAN12BWGCA7ZVCRWCA4AUFA9CAUVX2JKCAZFS0TKCAGNBJJBCAPMPJIGCAO7IMC1CA8S7RR7CA3R18A2CALIF8XDCAE37FTTCA0L73F4.jpg"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 167px; DISPLAY: block; HEIGHT: 167px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5538130526576502322" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgC_BKN2xZHn8_DoV5Vb1X8UrAAXmGiTKezQsLtczBY1xJy3RY1YoH5kN2YcDkA3uFY0bKsfELoO0GzUFOw1NqNVL-LFzAVopfzb0XDlSFtLU8oEdK3mFi8smlw8x5rC6-7JGq_bagX2y0/s320/EBP9N6CA25VPEMCAYAH203CA3WLC9ACARDZ5L4CA58041ZCAN12BWGCA7ZVCRWCA4AUFA9CAUVX2JKCAZFS0TKCAGNBJJBCAPMPJIGCAO7IMC1CA8S7RR7CA3R18A2CALIF8XDCAE37FTTCA0L73F4.jpg" /></a><br /><br /><br /><br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgwGT_ciesInryVqNSzHZpRvoKpz7HsGyraRddZLd8NHC_rT4zMzmh9JAHJOooInEye3St3PiAjuE2XzaYgmXkQ6aDzIpQLkwCcroRGWK7BwwizUfMwrXLWvxfeZCcH9Qbq16iU_fxmOUs/s1600/AKCM04CADXFT8KCAXBS267CA1ND5L4CAQCL7NBCAJNK7QDCAHQODPFCA48DNL0CAN5723XCAIIENY8CAKSXG6ECAXFKR6UCAB0XLJPCA2EKFB3CA3HZBZ3CAA47INSCAV0TTO7CAVIM5LBCA85N92S.jpg"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 262px; DISPLAY: block; HEIGHT: 193px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5538130388618036802" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgwGT_ciesInryVqNSzHZpRvoKpz7HsGyraRddZLd8NHC_rT4zMzmh9JAHJOooInEye3St3PiAjuE2XzaYgmXkQ6aDzIpQLkwCcroRGWK7BwwizUfMwrXLWvxfeZCcH9Qbq16iU_fxmOUs/s320/AKCM04CADXFT8KCAXBS267CA1ND5L4CAQCL7NBCAJNK7QDCAHQODPFCA48DNL0CAN5723XCAIIENY8CAKSXG6ECAXFKR6UCAB0XLJPCA2EKFB3CA3HZBZ3CAA47INSCAV0TTO7CAVIM5LBCA85N92S.jpg" /></a><br /><br /><br /><br /><br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjKxIgrj0k0UjxhErI4K25cvwVNkJJr73i1yxWXa0OkoFTVw42X-8zd9PcvhrWHdzzhaoX2KMA3zdo2NkFapTT4vljClaGP_MD-eBhvZoRDiRYNz6ETPt0pt5Mdn47GKV9LBe2ztf6fG6M/s1600/5R0FF2CAEFD96VCAZEIIMZCACDHFN7CAF7T97XCAHSRVVOCACG1GEACAHF1K8MCAZ6DOLTCAJS9J7BCA9JK1E6CAAE7GFBCAP7WZ6QCA3VYSYVCAOA21A7CA76AHS8CAGYNIQHCA8HD9DMCA6N1T1E.jpg"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 205px; DISPLAY: block; HEIGHT: 246px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5538130264065415538" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjKxIgrj0k0UjxhErI4K25cvwVNkJJr73i1yxWXa0OkoFTVw42X-8zd9PcvhrWHdzzhaoX2KMA3zdo2NkFapTT4vljClaGP_MD-eBhvZoRDiRYNz6ETPt0pt5Mdn47GKV9LBe2ztf6fG6M/s320/5R0FF2CAEFD96VCAZEIIMZCACDHFN7CAF7T97XCAHSRVVOCACG1GEACAHF1K8MCAZ6DOLTCAJS9J7BCA9JK1E6CAAE7GFBCAP7WZ6QCA3VYSYVCAOA21A7CA76AHS8CAGYNIQHCA8HD9DMCA6N1T1E.jpg" /></a><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiWifuS0h_gGtP2a9oBlzmd2a2DW2I875FRrC4Llo6vYnNV4ESga1T6FytUsBJDaZUEa_ZJdKk7Scutk8hLrOXo8V_Dx6b_H1gca-o7GdYWEIOCTi9RWWspqmyVY0EJs8if2WxlhbFDKOM/s1600/2TJYGECA5T57AICAPKIIK3CA3DPAYECA1QZ93VCABYY98JCAG29Z8VCAXD3TAMCANF6BEJCAD5L7GZCAYWEGU8CAFSODKXCA1Z0MSBCALHXE5WCA0SWGQYCA4X8IO4CAG54H1KCAKPQQXJCAVMK7QD.jpg"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 211px; DISPLAY: block; HEIGHT: 176px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5538130153135434738" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiWifuS0h_gGtP2a9oBlzmd2a2DW2I875FRrC4Llo6vYnNV4ESga1T6FytUsBJDaZUEa_ZJdKk7Scutk8hLrOXo8V_Dx6b_H1gca-o7GdYWEIOCTi9RWWspqmyVY0EJs8if2WxlhbFDKOM/s320/2TJYGECA5T57AICAPKIIK3CA3DPAYECA1QZ93VCABYY98JCAG29Z8VCAXD3TAMCANF6BEJCAD5L7GZCAYWEGU8CAFSODKXCA1Z0MSBCALHXE5WCA0SWGQYCA4X8IO4CAG54H1KCAKPQQXJCAVMK7QD.jpg" /></a><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhYbc04vu743tCKvtDdf228He1Yjb_7odXr-nxcrFnLNGHjuOoyTUhkQJixBLuD1JONWewBCuSiS90iRuh9hwsFxuhpiDq-HJfc4pVmvQrNQdPLaflTbjxh1ec375dWaxtAn-rGaF0Pmjk/s1600/0O7JSVCAQ4RW9FCAMNT8ATCAOE5VZVCAO0JB9PCA5O1LIZCAJ24TQJCATPSYTTCA0TLNDPCA5RSVLJCA3N0B5HCAFEAIFQCA4HFD4YCA9JOUOVCAFOAWPACA61M29KCAFR5H6FCAYH16ZWCAW23TLN.jpg"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 190px; DISPLAY: block; HEIGHT: 265px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5538129804193307122" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhYbc04vu743tCKvtDdf228He1Yjb_7odXr-nxcrFnLNGHjuOoyTUhkQJixBLuD1JONWewBCuSiS90iRuh9hwsFxuhpiDq-HJfc4pVmvQrNQdPLaflTbjxh1ec375dWaxtAn-rGaF0Pmjk/s320/0O7JSVCAQ4RW9FCAMNT8ATCAOE5VZVCAO0JB9PCA5O1LIZCAJ24TQJCATPSYTTCA0TLNDPCA5RSVLJCA3N0B5HCAFEAIFQCA4HFD4YCA9JOUOVCAFOAWPACA61M29KCAFR5H6FCAYH16ZWCAW23TLN.jpg" /></a><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><div></div></div></div></div></div></div></div></div></div>ประภัสสรา แคนติhttp://www.blogger.com/profile/14755432838640685043noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6877657788851898972.post-44864239462317488312010-11-10T19:20:00.000-08:002010-11-10T19:26:57.117-08:00อาหารไทย<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjyrjqWLlUeNsxFvRii9FND4ad0-d6xW4m7IHvKB11l_GMivTV7PyeAWnLjRiqcQ_Tsb9FpJbyE7pJanXhW9kZBd_43TOUR43qsnbZ4A-1IUxfYA2J5X7wGAWjZmszmDBiExu0FDpJFpIg/s1600/YBI227CAOQ7Z82CAYAVK9OCASZG62YCAQJ2NNZCAUL7AR8CAALALGBCAK7PLD3CAVF7ZE9CA7M6GASCA3HPSYDCARA9YXOCAPFPF6NCATKPM9FCA57L7XFCAMUVKN9CA0AJF0DCA2ELJNLCAZM09KS.jpg"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 259px; DISPLAY: block; HEIGHT: 194px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5538128313962348210" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjyrjqWLlUeNsxFvRii9FND4ad0-d6xW4m7IHvKB11l_GMivTV7PyeAWnLjRiqcQ_Tsb9FpJbyE7pJanXhW9kZBd_43TOUR43qsnbZ4A-1IUxfYA2J5X7wGAWjZmszmDBiExu0FDpJFpIg/s320/YBI227CAOQ7Z82CAYAVK9OCASZG62YCAQJ2NNZCAUL7AR8CAALALGBCAK7PLD3CAVF7ZE9CA7M6GASCA3HPSYDCARA9YXOCAPFPF6NCATKPM9FCA57L7XFCAMUVKN9CA0AJF0DCA2ELJNLCAZM09KS.jpg" /></a><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEillyx-zzjcZq2Qubu3szbnJyAW9iupvfe9B9MHVCgVgxRFELLnD-GVdG6yg1NNCc-x_kokr4_PCgZxFlj7sIr6sBJWyq9V2ufoZ6Woh_Lz8FRPe4j5PfKdFK9LubsdGHB3_HDmH_gDiVs/s1600/RV4952CAXS6MKMCAVD1J9VCAN4FO2ACAW02UOACAGW8QZ3CAQKJ65XCASZO01LCA5P56H0CAW5JKXTCADXYT12CAKPETE1CAJLO3VMCAD7089DCAD6C4SOCAVJGEXICA3P1VP6CAE0EH2ACAGQ7G42.jpg"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 259px; DISPLAY: block; HEIGHT: 194px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5538128043294467186" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEillyx-zzjcZq2Qubu3szbnJyAW9iupvfe9B9MHVCgVgxRFELLnD-GVdG6yg1NNCc-x_kokr4_PCgZxFlj7sIr6sBJWyq9V2ufoZ6Woh_Lz8FRPe4j5PfKdFK9LubsdGHB3_HDmH_gDiVs/s320/RV4952CAXS6MKMCAVD1J9VCAN4FO2ACAW02UOACAGW8QZ3CAQKJ65XCASZO01LCA5P56H0CAW5JKXTCADXYT12CAKPETE1CAJLO3VMCAD7089DCAD6C4SOCAVJGEXICA3P1VP6CAE0EH2ACAGQ7G42.jpg" /></a><br /><br /><div></div><br /><br /><div></div><br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjlcuh0NN8TYgpudvrjXW8w_7yJYCZsf0EXZtnH6ROwYDo1xOKIQnwJy1RfhXMEchfESmTgYDaNXP-zVO4tSZseYs_CQZ_xPM0Fe33i5myeY5xMVRujnRsS8wQJ1iGUGEVhnJF3CDGxWNg/s1600/NUCBR1CAZCSU65CABBYJIBCA77QXH2CAJ45G6OCAPVDYWSCA1SCNWNCA7KIZW5CAIS2RKLCAXHAQDCCARJ07RCCAK7PR9BCAAOLIUBCATCA245CAFE5SQZCA8TIPK5CA0L6A3PCASCVOIQCADJK1QZ.jpg"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 216px; DISPLAY: block; HEIGHT: 194px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5538127719275001810" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjlcuh0NN8TYgpudvrjXW8w_7yJYCZsf0EXZtnH6ROwYDo1xOKIQnwJy1RfhXMEchfESmTgYDaNXP-zVO4tSZseYs_CQZ_xPM0Fe33i5myeY5xMVRujnRsS8wQJ1iGUGEVhnJF3CDGxWNg/s320/NUCBR1CAZCSU65CABBYJIBCA77QXH2CAJ45G6OCAPVDYWSCA1SCNWNCA7KIZW5CAIS2RKLCAXHAQDCCARJ07RCCAK7PR9BCAAOLIUBCATCA245CAFE5SQZCA8TIPK5CA0L6A3PCASCVOIQCADJK1QZ.jpg" /></a><br /><br /><br /><div></div></div></div>ประภัสสรา แคนติhttp://www.blogger.com/profile/14755432838640685043noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6877657788851898972.post-91697963610628760262010-07-03T21:44:00.000-07:002010-07-03T21:55:43.049-07:00วันวิสาขบูชา<span style="font-family:times new roman;color:#000099;">ความหมายของ วันวิสาขบูชา คำว่า วิสาขบูชา ย่อมาจากคำว่า "วิสาขปุรณมีบูชา" แปลว่า "การบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ" ดังนั้น วิสาขบูชา จึงหมายถึง การบูชาในวันเพ็ญเดือน 6 การกำหนด วันวิสาขบูชา วันวิสาขบูชา ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ตามปฏิทินจันทรคติของไทย ซึ่งมักจะตรงกับเดือนพฤษภาคม หรือมิถุนายน แต่ถ้าปีใดมีอธิกมาส คือ มีเดือน 8 สองหน ก็เลื่อนไปเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ กลางเดือน 7 หรือราวเดือนมิถุนายน อย่างไรก็ตาม ในบางปีของบางประเทศอาจกำหนด วันวิสาขบูชา ไม่ตรงกับของไทย เนื่องด้วยประเทศเหล่านั้นอยู่ในตำแหน่งที่ต่างไปจากประเทศไทย ทำให้วันเวลาคลาดเคลื่อนไปตามเวลาของประเทศนั้นๆประวัติวันวิสาขบูชา และความสำคัญของ วันวิสาขบูชา<br /> วันวิสาขบูชา ถือเป็นวันสำคัญยิ่งทางพระพุทธศาสนา เพราะเป็นวันที่เกิด 3 เหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวกับวิถีชีวิตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวียนมาบรรจบกันในวันเพ็ญเดือน 6 แม้จะมีช่วงระยะเวลาห่างกันนับเวลาหลายสิบปี ซึ่งเหตุการณ์อัศจรรย์ 3 ประการ ได้แก่1. วันวิสาขบูชา เป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ เมื่อพระนางสิริมหามายา พระมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะ แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ ทรงพระครรภ์แก่จวนจะประสูติ พระนางแปรพระราชฐานไปประทับ ณ กรุงเทวทหะ เพื่อประสูติในตระกูลของพระนางตามประเพณีนิยมในสมัยนั้น ขณะเสด็จแวะพักผ่อนพระอิริยาบถใต้ต้นสาละ ณ สวนลุมพินีวัน พระนางก็ได้ประสูติพระโอรส ณ ใต้ต้นสาละนั้น ซึ่งตรงกับวันเพ็ญเดือน 6 ก่อนพุทธศักราช 80 ปี ครั้นพระกุมารประสูติได้ 5 วัน ก็ได้รับการถวายพระนามว่า "สิทธัตถะ" แปลว่า "สมปรารถนา" เมื่อข่าวการประสูติแพร่ไปถึงอสิตดาบส 4 ผู้อาศัยอยู่ในอาศรมเชิงเขาหิมาลัย และมีความคุ้นเคยกับพระเจ้าสุทโธทนะ ดาบสจึงเดินทางไปเข้าเฝ้า และเมื่อเห็นพระราชกุมารก็ทำนายได้ทันทีว่า นี่คือผู้จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงกล่าวพยากรณ์ว่า "พระราชกุมารนี้จักบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ เห็นแจ้งพระนิพพานอันบริสุทธ์อย่างยิ่ง ทรงหวังประโยชน์แก่ชนเป็นอันมาก จะประกาศธรรมจักรพรหมจรรย์ของพระกุมารนี้จักแพร่หลาย" แล้วกราบลงแทบพระบาทของพระกุมาร พระเจ้าสุทโธทนะทอดพระเนตรเห็นเหตุการณ์นั้นทรงรู้สึกอัศจรรย์และเปี่ยมล้นด้วยปีติ ถึงกับทรุดพระองค์ลงอภิวาทพระราชกุมารตามอย่างดาบส2. วันวิสาขบูชา เป็นวันที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้อนุตตรสัมโพธิญาณ หลังจากออกผนวชได้ 6 ปี จนเมื่อพระชนมายุ 35 พรรษา เจ้าชายสิทธัตถะก็ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ณ ใต้ร่มไม้ศรีมหาโพธิ์ ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ในตอนเช้ามืดของวันพุธ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีระกา ก่อนพุทธศักราช 45 ปี ปัจจุบันสถานที่ตรัสรู้แห่งนี้เรียกว่า พุทธคยา เป็นตำบลหนึ่งของเมืองคยา แห่งรัฐพิหารของอินเดีย สิ่งที่ตรัสรู้ คือ อริยสัจสี่ เป็นความจริงอันประเสริฐ 4 ประการของพระพุทธเจ้า ซึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จไปที่ต้นมหาโพธิ์ และทรงเจริญสมาธิภาวนาจนจิตเป็นสมาธิได้ฌานที่ 4 แล้วบำเพ็ญภาวนาต่อไปจนได้ฌาน 3 คือ<br /> วันวิสาขบูชา ยามต้น : ทรงบรรลุ "ปุพเพนิวาสานุติญาณ " คือ ทรงระลึกชาติในอดีตทั้งของตนเองและผู้อื่นได้ ยามสอง : ทรงบรรลุ "จุตูปปาตญาณ" คือ การรู้แจ้งการเกิดและดับของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ด้วยการมีตาทิพย์สามารถเห็นการจุติและอุบัติของวิญญาณทั้งหลาย ยามสาม หรือยามสุดท้าย : ทรงบรรลุ "อาสวักขญาณ" คือ รู้วิธีกำจัดกิเลสด้วย อริยสัจ 4 (ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในคืนวันเพ็ญเดือน 6 ซึ่งขณะนั้นพระพุทธองค์มีพระชนมายุได้ 35 พรรษา3. วันวิสาขบูชา เป็นวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่ปรินิพพาน (ดับสังขารไม่กลับมาเกิดสร้างชาติ สร้างภพอีกต่อไป) เมื่อพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้และแสดงธรรมเป็นเวลานานถึง 45 ปี จนมีพระชนมายุได้ 80 พรรษา ได้ประทับจำพรรษา ณ เวฬุคาม ใกล้เมืองเวสาลี แคว้นวัชชี ในระหว่างนั้นทรงประชวรอย่างหนัก ครั้นเมื่อถึงวันเพ็ญเดือน 6 พระพุทธองค์กับพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย ก็ไปรับภัตตาหารบิณฑบาตที่บ้านนายจุนทะ ตามคำกราบทูลนิมนต์ พระองค์เสวยสุกรมัททวะที่นายจุนทะตั้งใจทำถวายก็เกิดอาพาธลง แต่ทรงอดกลั้นมุ่งเสด็จไปยังเมืองกุสินารา ประทับ ณ ป่าสาละ เพื่อเสด็จดับขันธุ์ปรินิพพาน เมื่อถึงยามสุดท้ายของคืนนั้น พระพุทธองค์ก็ทรงประทานปัจฉิมโอวาทว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลายอันว่าสังขารทั้งหลายย่อมมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงอันเป็นประโยชน์ของตนและประโยชน์ของผู้อื่นให้ บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด" หลังจากนั้นก็เสด็จเข้าดับขันธุ์ปรินิพพาน ในราตรีเพ็ญเดือน 6 นั้น<br /> <br /> ประวัติความเป็นมาของ วันวิสาขบูชา ในประเทศไทย ปรากฎหลักฐานว่า วันวิสาขบูชา เริ่มต้นครั้งแรกในประเทศไทยตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี สันนิษฐานว่าได้รับแบบแผนมาจากลังกา นั่นคือ เมื่อประมาณ พ.ศ.420 พระเจ้าภาติกุราช กษัตริย์แห่งกรุงลังกา ได้ประกอบพิธีวิสาขบูชาขึ้น เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา จากนั้นกษัตริย์ลังกา พระองค์อื่นๆ ก็ปฏิบัติประเพณีวิสาขบูชานี้สืบทอดต่อกันมา ส่วนการเผยแผ่เข้ามาในประเทศไทยนั้น น่าจะเป็นเพราะประเทศไทยในสมัยกรุงสุโขทัยมีความสัมพันธ์ด้านพระพุทธศาสนากับประเทศลังกาอย่างใกล้ชิด เห็นได้จากมีพระสงฆ์จากลังกาหลายรูปเดินทางเข้ามาเผยแพร่พระพุทธศาสนา และนำการประกอบพิธีวิสาขบูชาเข้ามาปฏิบัติในประเทศไทยด้วย สำหรับการปฏิบัติพิธีวิสาขบูชาในสมัยสุโขทัยนั้น ได้มีการบันทึกไว้ในหนังสือนางนพมาศ สรุปได้ว่า เมื่อถึงวันวิสาขบูชา พระเจ้าแผ่นดิน ข้าราชบริพาร ทั้งฝ่ายหน้า และฝ่ายใน ตลอดทั้งประชาชนชาวสุโขทัย จะช่วยกันประดับตกแต่งพระนคร ด้วยดอกไม้ พร้อมกับจุดประทีปโคมไฟให้ดูสว่างไสวไปทั่วพระนคร เป็นเวลา 3 วัน 3 คืน เพื่อเป็นการบูชาพระรัตนตรัย ขณะที่พระมหากษัตริย์ และบรมวงศานุวงศ์ ก็ทรงศีล และทรงบำเพ็ญพระราชกุศลต่างๆ ครั้นตกเวลาเย็นก็เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ และนางสนองพระโอษฐ์ตลอดจนข้าราชการทั้งฝ่ายหน้า และฝ่ายในไปยังพระอารามหลวง เพื่อทรงเวียนเทียนรอบพระประธาน<br />ส่วนชาวสุโขทัยจะรักษาศีล ฟังธรรม ถวายสลากภัต สังฆทาน อาหารบิณฑบาตแด่พระภิกษุสามเณร บริจาคทานแก่คนยากจน ทำบุญไถ่ชีวิตสัตว์ ฯลฯ หลังจากสมัยสุโขทัย ประเทศไทยได้รับอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์มากขึ้น ทำให้ในช่วงสมัยกรุงศรีอยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์ตอนต้น ไม่ปรากฎหลักฐานว่ามีการประกอบพิธีวิสาขบูชา จนกระทั่งมาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (พ.ศ.2360) ทรงมีพระราชดำริที่จะให้ฟื้นฟูพิธีวิสาขบูชาขึ้นมาใหม่ โดยสมเด็จพระสังฆราช (มี) สำนักวัดราชบูรณะ ถวายพระพรให้ทรงทำขึ้น เป็นครั้งแรก ในวันขึ้น 14 ค่ำ 15 ค่ำ และวันแรม 1 ค่ำ เดือน 6 พ.ศ.2360 และให้จัดทำตามแบบอย่างประเพณีเดิมทุกประการ เพื่อให้ประชาชนได้ทำบุญ ทำกุศล โดยทั่วหน้ากัน การรื้อฟื้นพิธีวิสาขบูชาขึ้นมาในครานี้ จึงถือเป็นแบบอย่างถือปฏิบัติในการประกอบพิธี วันวิสาขบูชา ต่อเนื่องมาจวบจนกระทั่งปัจจุบัน วันวิสาขบูชา เป็นวันสำคัญสากลของสหประชาชาติ วันวิสาขบูชา ถือเป็นวันสำคัญที่สุดทางพระพุทธศาสนา เนื่องจากล้วนมีเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการถือกำเนิดของพระพุทธศาสนา คือ เป็นวันที่พระศาสดา คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ดังนั้นพุทธศาสนิกชนทั่วโลกจึงให้ความสำคัญกับวันวิสาขบูชานี้ และในวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ.2542 องค์การสหประชาชาติได้ยอมรับญัตติที่ประชุม กำหนดให้วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญของโลก โดยเรียกว่า Vesak Day ตามคำเรียกของชาวศรีลังกา ผู้ที่ยื่นเรื่องให้สหประชาชาติพิจารณา และได้กำหนดวันวิสาขบูชานี้ถือเป็นวันหยุดวันหนึ่งของสหประชาชาติอีกด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อให้ชาวพุทธทั่วโลกได้มีโอกาสบำเพ็ญบุญเนื่องในวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระบรมศาสดา โดยการที่สหประชาชาติได้กำหนดให้วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญของโลกนั้น ได้ให้เหตุผลไว้ว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นมหาบุรุษผู้ให้ความเมตตาต่อหมู่มวลมนุษย์ เปิดโอกาสให้ทุกศาสนาสามารถเข้ามาศึกษาพุทธศาสนา เพื่อพิสูจน์หาข้อเท็จจริงได้โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ และทรงสั่งสอนทุกคนโดยใช้ปัญญาธิคุณ โดยไม่คิดค่าตอบแทน การประกอบพิธีใน วันวิสาขบูชา การประกอบพิธีใน วันวิสาขบูชา จะแบ่งออกเป็น 3 พิธี ได้แก่ 1. พิธีหลวง คือ พระราชพิธีสำหรับพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ ประกอบในวันวิสาขบูชา 2. พิธีราษฎร์ คือ พิธีของประชาชนทั่วไป 3. พิธีของพระสงฆ์ คือ พิธีที่พระสงฆ์ประกอบศาสนกิจ กิจกรรมใน วันวิสาขบูชากิจกรรมที่พุทธศาสนิกชนพึงปฏิบัติใน วันวิสาขบูชา ได้แก่ 1. ทำบุญใส่บาตร กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้ญาติที่ล่วงลับ และเจ้ากรรมนายเวร 2. จัดสำรับคาวหวานไปทำบุญถวายภัตตาหารที่วัด และปฏิบัติธรรม ฟังพระธรรมเทศนา 3. ปล่อยนกปล่อยปลา เพื่อสร้างบุญสร้างกุศล 4. ร่วมเวียนเทียนรอบอุโบสถที่วัดในตอนค่ำ เพื่อรำลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ 5. ร่วมกิจกรรมเกี่ยวกับวันสำคัญทางพุทธศาสนา 6. จัดแสดงนิทรรศการ ประวัติ หรือเรื่องราวความเป็นมาเกี่ยวกับวันวิสาขบูชาตามโรงเรียน หรือสถานที่ราชการต่างๆ เพื่อให้ความรู้ และเป็นการร่วมรำลึกถึงความสำคัญของวันวิสาขบูชา 7. ประดับธงชาติตามอาคารบ้านเรือน วัดและสถานที่ราชการ 8. บำเพ็ญสาธารณประโยชน์ หลักธรรมที่สำคัญใน วันวิสาขบูชา ที่ควรนำมาปฏิบัติ ใน วันวิสาขบูชา พุทธศาสนิกชนทั้งหลายควรยึดมั่นในหลักธรรม ซึ่งหลักธรรมที่ควรนำมาปฏิบัติในวันวิสาขบูชา ได้แก่ 1. ความกตัญญู คือ การรู้คุณคน เป็นคุณธรรมที่คู่กับความกตเวที ซึ่งหมายถึงการตอบแทนคุณที่มีผู้ทำไว้ ความกตัญญูและความกตเวทีนี้ เป็นเครื่องหมายของคนดี ทำให้ครอบครัวและสังคมมีความสุข ซึ่งความกตัญญูกตเวทีนั้นสามารถเกิดขึ้นได้กับทั้ง บิดามารดาและลูก ครูอาจารย์กับศิษย์ นายจ้างกับลูกจ้าง ฯลฯ ในพระพุทธศาสนา เปรียบพระพุทธเจ้าเสมือนกับบุพการี ผู้ชี้ให้เห็นทางหลุดพ้นแห่งความทุกข์ ดังนั้นพุทธศาสนิกชนจึงควรตอบแทนด้วยความกตัญญูกตเวทีด้วยการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และดำรงพระพุทธศาสนาให้อยู่สืบไป2. อริยสัจ 4 คือ ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ใน วันวิสาขบูชา ได้แก่ ทุกข์ คือ ปัญหาของชีวิต สภาวะที่ทนได้ยาก ซึ่งทุกข์ขั้นพื้นฐาน คือ การเกิด การแก่ และการตาย ล้วนเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องเผชิญ ส่วนทุกข์จร คือ ทุกข์ที่เกิดขึ้นในการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น การพลัดพลาดจากสิ่งที่เป็นที่รัก หรือ ความยากจน เป็นต้น สมุทัย คือ ต้นเหตุของปัญหา หรือสาเหตุของการเกิดทุกข์ และสาเหตุส่วนใหญ่ของปัญหาเกิดจาก "ตัณหา" อันได้แก่ ความอยากได้ต่างๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด นิโรธ คือ ความดับทุกข์ เป็นสภาพที่ความทุกข์หมดไป เพราะสามารถดับกิเลส ตัณหา อุปาทานออกไปได้ มรรค คือ หนทางที่นำไปสู่การดับทุกข์ เป็นการปฎิบัติเพื่อแก้ปัญหา มี 8 ประการ ได้แก่ ความเห็นชอบ ดำริชอบ วาจาชอบ กระทำชอบ เลี้ยงชีพชอบ พยายามชอบ ระลึกชอบ ตั้งจิตมั่นชอบ3. ความไม่ประมาท คือการมีสติตลอดเวลา ไม่ว่าจะทำอะไร พูดอะไร คิดอะไร ล้วนต้องใช้สติ เพราะสติคือการระลึกได้ การระลึกได้อยู่เสมอจะทำให้เราใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท ซึ่งความประมาทนั้นจะทำให้เกิดปัญหายุ่งยากตามมา ดังนั้นในวันนี้พุทธศาสนิกชนจะพากันน้อมระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ด้วยความมีสติ วันวิสาขบูชา นับว่าเป็นวันที่มีความสำคัญสำหรับพุทธศาสนิกชนทุกคน เป็นวันที่มีการทำพิธีพุทธบูชา เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระวิสุทธิคุณ พระปัญญาคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีต่อมวลมนุษย์และสรรพสัตว์ อีกทั้งเพื่อเป็นการรำลึกถึงเหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์ทั้ง 3 ประการ ที่มาบังเกิดในวันเดียวกัน และนำหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์มาเป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติในการดำรงชีวิตค่ะ </span>ประภัสสรา แคนติhttp://www.blogger.com/profile/14755432838640685043noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6877657788851898972.post-60857102248171251252010-04-25T02:43:00.000-07:002010-07-03T21:39:07.966-07:00คำคม<span style="font-family:verdana;color:#ff0000;">พุทธศาสนสุภาษิต : พระราชา<br /><br />ราชา รฏฺฐสฺส ปญฺญาณํ<br />พระราชาเป็นเครื่องปรากฏของแว่นแคว้น<br />ราชา มุขํ นุสฺสสานํ<br />พระราชาเป็นประมุขของประชาชน<br />สพฺพํ รฏฺฐํ สุขํ โหตุ ราชา เจ โหติ ธมฺมิโก<br />ถ้าพระราชาเป็นผู้ทรงธรรม ราษฎรทั้งปวงก็เป็นสุข<br />กุทฺธํ อปฺปฏิกุชฺฌนฺโต ราชา รฏฺฐสฺส ปูชิโต<br />พระราชาผู้ไม่กริ้วตอบผู้โกรธ ราษฎรก็บูชา<br />สนฺนทฺโธ ขตฺติโย ตปติ<br />พระมหากษัตริย์ทรงเครื่องรบย่อมสง่า<br />ขตฺติโย เสฏฺโฐ ชเนตสฺมิง เย โคตฺตปฏิสาริโน<br />พระมหากษัตริย์เป็นผู้ประเสริฐสุดในหมู่ชนผู้รังเกียจด้วยสกุล<br />พุทธศาสนสุภาษิต : สิ่งที่เป็นการยาก<br /><br />กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ<br />ความได้เป็นมนุษย์เป็นการยาก<br />กิจฺฉํ มจฺจาน ชีวิตํ<br />ความเป็นอยู่ของสัตว์เป็นการยาก<br />กิจฺฉํ สทฺธมฺมสฺสวนํ<br />การฟังธรรมของสัตบุรุษเป็นการยาก<br />กิจฺโฉ พุทฺธานมุปฺปาโท<br />ความเกิดขึ้นแห่งท่านผู้รู้เป็นการยาก<br />ทุลฺลภํ ทสฺสนํ โหติ สมฺพุทฺธานํ อภิณฺหโส<br />การเห็นพระพุทธเจ้าเนืองๆ เป็นการหาได้ยาก<br /><br />พุทธศาสนสุภาษิต : ทรัพย์และอนิจจัง<br /><br /><br />น จาปิ วิตฺเตน ชรํ วิหนฺติ<br />กำจัดความแก่ด้วยทรัพย์ไม่ได้<br />น ทีฆมายุง ลภเต ธเนน<br />คนไม่ได้อายุยืนเพราะทรัพย์<br />สพฺเพ ว นิกฺขิปิสฺสนฺติ ภูตา โลเก สมุสฺสยํ<br />สัตว์ทั้งปวง จักทอดทิ้งร่างไว้ในโลก<br />อฑฺฒา เจว ทฬิทฺทา จ สพฺเพ มจฺจุปรายนา<br />ทั้งคนมีทั้งคนจน ล้วนมีความตายเป็นเบื้องหน้า<br />อปฺปกญฺจิทํ ชีวตมาหุธีรา<br />ปราชญ์กล่าวว่าชีวิตนี้น้อยนัก<br />น หิ โน สงฺครนฺเตน มหาเสเนน มจฺจุนา<br />ความผัดเพื่อนกับมฤตยู อันมีกองทัพใหญ่นั้น ไม่ได้เลย<br />ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ<br />สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา<br />ภิยฺโย จ กาเม อภิปตฺถยนฺติ<br />ผู้บริโภคกาม ย่อมปรารถนากามยิ่งขึ้นไป<br />ชรูปนีตสฺส น สนฺติ ตาณา<br />เมื่อสัตว์ถูกชรานำเข้าไปแล้ว ไม่มีผู้ป้องกัน<br />น มิยฺยมานสฺส ภวนฺติ ตาณา<br />เมื่อสัตว์จะตาย ไม่มีผู้ป้องกัน<br />น มิยฺยามานํ ธมฺมนฺเวติ กิญฺจิ<br />ทรัพย์สักนิดก็ติดตามคนตายไปไม่ได้<br />สงฺขารา ปรมา ทุกฺขา<br />สังขารเป็นทุกข์อย่างยิ่ง<br />ขโณ โว มา อุปจฺจคา<br />ขณะอย่าล่วงท่านทั้งหลายไปเสีย<br />อติปตฺติ วโย ขโณ ตเถว<br />วัยย่อมผ้านพ้นไปเหมือนขณะทีเดียว<br />กาโล ฆสติ ภูตานิ สพฺพาเนว สหตฺตนา<br />กาลเวลาย่อมกินสรรพสัตว์กับทั้งตัวมันเอง<br />พุทธศาสนสุภาษิต : ความโกรธ<br /><br />โกธํ ฆตฺวา น โสจติ<br />ฆ่าความโกรธได้แล้วย่อมไม่เศร้าโศก<br />โกโธ สตฺถมลํ โลเก<br />ความโกรธเป็นดังสนิมศัสตราในโลก<br />โกธํ ฆตฺวา สุขํ เสติ<br />ฆ่าความโกรธได้แล้วย่อมอยู่เป็นสุข<br />พุทธศาสนสุภาษิต : ความทุกข์<br /><br />ทฬิทฺทิยํ ทุกฺขํ โลเก<br />ความจนเป็นทุกข์ในโลก<br />อิณาทานํ ทุกฺขํ โลเก<br />การกู้หนี้ เป็นทุกข์ในโลก<br />ทุราวาสา ฆรา ทุกฺขา<br />เหย้าเรือนที่ปกครองไม่ดี นำทุกข์มาให้<br />สงฺขารา ปรมา ทุกฺขา<br />สังขารเป็นทุกข์อย่างยิ่ง<br />พุทธศาสนสุภาษิต : สหาย<br /><br />อตฺถมฺหิ ชาตมฺหิ สุขา สหายา<br />เมื่อความต้องการเกิดขึ้น สหายเป็นผู้นำสุขมาให้<br />สเจ ลเภถ นิปกํ สหายํ จเรยฺย เตนตฺตมโน สติมา<br />ถ้าได้สหายผู้รอบคอบพึงพอใจมีสติเที่ยวไปกับเขา<br />ปาปมิตฺโต ปาปสโข ปาปอาจารโคจโร<br />มีมิตรเลว มีเพื่อนเลว ย่อมมีมรรยาทและมีที่เที่ยวเลว<br />นตฺถิ พาเล สหายตา<br />ความเป็นสหาย ไม่มีในคนพาล<br />ภริยา ปรมา สขา<br />ภริยาเป็นเพื่อนสนิท, ภรรยาเป็นสหายอย่างยิ่ง<br />พุทธศาสนสุภาษิต : มลทิน<br /><br />อสชฺฌายมลา มนฺตา<br />มนต์มีการไม่ท่องบ่น เป็นมลทิน<br />อนุฏฺฐานมลา ฆรา<br />เหย้าเรือนมีความไม่หมั่นเป็นมลทิน<br />มลํ วณฺณสฺส โกสชฺชํ<br />ความเกียจค้านเป็นมลทินแห่งผิวพรรณ<br />มลิตฺถิยา ทุจฺจริตํ<br />ความประพฤติชั่วเป็นมลทินของหญิง<br />พุทธศาสนสุภาษิต : บริสุทธิ์<br /><br />สุทฺธิ อสุทฺธิ ปจฺจตฺตํ<br />ความบริสุทธิ์และความไม่บริสุทธิ์มีเฉพาะตัว<br />นาญฺโญ อญฺญํ วิโสธเย<br />ผู้อื่นพึงทำให้ผู้อื่นบริสุทธิ์ไม่ได้<br />สุทฺธสฺส สุจิกมฺมสฺส สทา สมฺปชฺชเต วตํ<br />พรตของผู้บริสุทธิ์มีการงานสะอาด ย่อมถึงพร้อมทุกเมื่อ<br />พุทธศาสนสุภาษิต : การชนะ<br /><br />สพฺพรติง ธมฺมรติ ชินาติ<br />ความยินดีในธรรมย่อมชนะความยินดีทั้งปวง<br />ตณฺหกฺขโย สพฺพทุกฺขํ ชินาติ<br />ความสิ้นตัณหา ย่อมชนะทุกข์ทั้งปวง<br />น หิ ชิตํ สาธุ ชิตํ ยํ ชิตํ อวชิยฺยติ<br />ความชนะที่ไม่กลับแพ้เป็นดี<br />อสาธุง สาธุนา ชิเน<br />พึงชนะคนไม่ดี ด้วยความดีของตน<br />ชิเน กทริยํ ทาเนน<br />พึงชนะคนตระหนี่ ด้วยการให้<br />สจฺเจนาลิกวาทินํ<br />พึงชนะคนพูดปดด้วยคำจริง<br />พุทธศาสนสุภาษิต : หว่านพืชเช่นใด ได้ผลเช่นนั้น<br /><br />อคฺคสฺส ทาตา ลภเต ปุนคฺคํ<br />ผู้ให้สิ่งที่เลิศ ย่อมได้สิ่งที่เลิศอีก<br />มนาปทายี ลภเต มนาปํ<br />ผู้ให้สิ่งที่ชอบใจ ย่อมได้สิ่งที่ชอบใจ<br />เสฏฺฐนฺทโท เสฏฺฐมุเปติ ฐานํ<br />ผู้ให้สิ่งที่ประเสริฐ ย่อมถึงฐานะที่ประเสริฐ<br />ททโต ปุญฺญํ ปวฑฺฒติ<br />บุญของผู้ให้ย่อมเจริญ<br />ทเทยฺย ปุรโส ทานํ<br />คนควรให้ทาน<br />ปุญฺญมากงฺขมานานํ สงฺโฆ เว ยชตํ มุขํ<br />พระสงฆ์นั้นแล เป็นประมุขของเหล่าชนผู้จำนงบุญบูชาอยู่<br />พุทธศาสนสุภาษิต : ผู้ครองเรือน<br /><br />ทุราวาสา ฆรา ทุกฺขา<br />เหย้าเรือนที่ปกครองไม่ดี นำทุกข์มาให้ฯ<br />อนุฏฺฐานมลา ฆรา<br />เหย้าเรือนมีความไม่หมั่น เป็นมลทินฯ<br />โภคา สนฺนิจฺจยํ ยนฺติ วมฺมิโก วุปจียติ<br />โภคทรัพย์ของผู้ครองเรือนดี ย่อมถึงความพอกพูน เหมือนจอมปลวกกำลังก่อขึ้นฯ<br />พุทธศาสนสุภาษิต : ภรรยา<br /><br />ภตฺตา ปุญฺญาณมิตฺถิยา<br />ภัสดาเป็นสง่าของสตรีฯ<br />ภตฺตารํ นาติมญฺญติ<br />ภรรยาดี ไม่ดูหมิ่นภัสดา<br />ภตฺตุ ฉนฺทวสานุคา<br />ภรรยาย่อมคล้อยตามอำนาจแห่งความพอใจของภัสดา<br />ภตฺตุญฺจ ครุโน สพฺเพ ปฏิปูเชติ ปณฺฑิตา<br />ภรรยาผู้ฉลาดย่อมนับถือภัสดาและคนควรเคารพทั้งปวง<br />ภตฺตุมนา ปญฺจรติ<br />ภรรยาดีย่อมประพฤติเป็นที่พอใจของภัสดา<br />สมฺภตํ อนุรกฺขติ<br />ภรรยาดีย่อมคอยรักษาทรัพย์ที่ภัสดาหามาได้ไว้<br />สุสํวิหิตกมฺมนฺตา<br />ภรรยาดีเป็นผู้จัดทำการงานดี<br />สุสฺสูสา เสฏฺฐา ภริยานํ<br />บรรดาภิรยาทั้งหลาย ภริยาผู้เชื่อฟังเป็นผู้ประเสริฐ<br />พุทธศาสนสุภาษิต : วาจา<br /><br />หทยสฺส สทิสี วาจา<br />วาจาเช่นเดียวกับใจ<br />สํโวหาเรน โสเจยฺยํ เวทิตพฺพํ<br />ความเป็นผู้สะอาด พึงทราบได้ด้วยถ้อยคำสำนวน<br />ทุฏฺฐสฺส ผรุสวาจา<br />คนโกรธมีวาจาหยาบคาย<br />มุตฺวา ตปฺปติ ปาปิกํ<br />คนเปล่งวาจาชั่วย่อมทำตนให้เดือดร้อน<br />อภูตวาที นิรยํ อุเปติ<br />คนพูดไม่จริง ย่อมเข้าถึงนรก<br />สณฺหํ คิรํ อตฺถาวหํ ปมุญฺจ<br />ควรเปล่งวาจาให้ไพเราะที่มีประโยชน์<br />ตเมว วาจํ ภาเสยฺย ยายตฺตานํ น ตาปเย<br />ควรกล่าวแต่วาจาที่ไม่ยังตนให้เดือดร้อน<br />น หิ มุญฺเจยฺย ปาปิกํ<br />ไม่ควรเปล่งวาจาชั่วเลย<br />สํโวหาเรน โสเจยฺยํ กลฺยาณิง<br />ควรเปล่งวาจางาม ให้เป็นที่พอใจฯ<br />วาจํ มุญฺเจยฺย กลฺยาณิง<br />ควรเปล่งวาจางาม<br />โมกฺโข กลฺยาณิกา สาธุ<br />เปล่งวาจางาม ยังประโยชน์ให้สำเร็จ<br />มนุญฺญเมว ภาเสยฺย<br />ควรกล่าวแต่วาจาที่น่าพอใจ<br />นามนุญฺญํ กุทาจนํ<br />ในกาลไหนๆ ไม่ควรกล่าววาจาไม่น่าพอใจ<br />วาจํ ปมุญฺเจ กุสลํ นาติเวลํ<br />ไม่ควรกล่าววาจาที่ดี ให้เกินกาล<br />พุทธศาสนสุภาษิต : ความกตัญญูและพรหมวิหาร<br /><br />หิริโอตฺตปฺ ปิยญฺเญว โลกํ ปาเลติ สาธุกํ<br />หิริและโอตตับปปะ ย่อมรักษาโลกไว้เป็นอันดี<br />โลโกปตฺถมฺภิกา เมตฺตา<br />เมตตาเป็นเครื่องค้ำจุนโลก<br />อรติ โลกนาสิกา<br />ความริษยาเป็นเหตุทำโลกให้ฉิบหาย<br />มหาปุริสภาวสฺส ลกฺขณํ กรุณาสโห<br />อัชฌาศัยที่ทนไม่ได้เพราะกรุณาเป็นลักษณะของความเป็นมหาบุรุษ<br />นิมิตฺตํ สาธุรูปานํ กตญฺญูกตเวทิตา<br />ความกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายแห่งคนดี<br />สพฺพญฺเจ ปฐวิง ทชฺชา เนว นํ อภิราธเย<br />ถึงแม้ให้แผ่นดินทั้งหมดก็ยังคนอกตัญญูให้จงรักไม่ได้<br />พุทธศาสนสุภาษิต : คนชั่วกับลาภสักการะ<br /><br />หนฺติ โภคา ทุมฺเมธํ<br />โภคทรัพย์ย่อมฆ่าคนมีปัญญาทราม<br />สกฺกาโร กาปุริสํ หนฺติ<br />สักการะ ย่อมฆ่าคนชั่วเสีย<br />พุทธศาสนสุภาษิต : การงาน<br /><br />อกิลาสุ วินฺเท หทยสฺส สนฺติง<br />คนไม่เกียจคร้าน พึงได้รับความสงบใจ<br />สุทสฺสํ วชฺชมญฺเญสํ อตฺตโน ปน ทุทฺทสํ<br />ความผิดของผู้อื่นเห็นง่าย ฝ่ายของตนเห็นยาก<br />อิติ วิสฺสฏฺฐกมฺมนฺเต อตฺถา อจฺเจนฺติ มาณเว<br />ประโยชน์ย่อมล่วงเลยคนหนุ่มผู้ทอดทิ้งการงาน<br />นกฺขตฺตํ ปฏิมาเนนฺตํ อตฺโถ พาลํ อุปจฺจคา<br />ประโยชน์ย่อมล่วงเลยคนโง่ผู้มัวถือฤกษ์อยู่</span>ประภัสสรา แคนติhttp://www.blogger.com/profile/14755432838640685043noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-6877657788851898972.post-82332484333161192302010-03-30T19:46:00.000-07:002010-07-03T21:41:42.150-07:00ม่ายมีเขา...หัวใจเรา...ก้อยังเต้นอยู่...<span style="font-family:trebuchet ms;color:#993399;">... เรื่องของความรัก..บังคับกันไม่ได้...<br /><br />ที่ผ่านมา เราทำทุกอย่างดีที่สุดแล้ว<br />และเขาก็อาจพยายามรักเรามากที่สุดแล้ว<br />แต่เมื่อความรักจืดจางไป<br />เขาจะบังคับตัวเองอย่างไรได้<br />และเราจะบังคับเขาอย่างไรได้<br /><br />... ใครจะไม่รักเราหรือไม่รักเรา ขึ้นอยู่มี่ใจเขา ไม่ว่าเราจะเอาเหตุผลใดมาอ้างก็ไม่มีทางเหนี่ยวรั้งคนที่หมดรักเราแล้ว...ให้ยังอยู่กับเราได้...<br />...หัวใจของคนเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เป็นธรรมดา ที่ใครคนหนึ่งจะรักเราเมื่อเขาอยากรักและเดินจากไปเมื่อเขาหมดรัก…<br />มันไม่ใช่ความผิดของเรา ของเขา หรือของใคร...ที่ผ่านมาเราทำทุกอย่างดีที่สุดแล้ว แต่เมื่อความรักจืดจางไป เขาจะบังคับตัวเองอย่างไรได้ และเราจะบังคับเขาอย่างไรได้ ไม่มีใครไม่อยากอยู่กับคนที่ตัวเองรัก หากเขารักเรา เขาคงยังอยู่ เพราะเขาอยู่กับเราแล้วเขามีความสุข...<br />เมื่อเขาพบว่า...การอยู่กับเราทำให้เขามีความทุกข์ อึดอัดใจ เบื่อหน่าย หัวใจแห้งแล้ง ไม่มีชีวิตชีวา มันก็ย่อมดีกว่า...ถ้าเขาจะเดินจากเราไป...แล้วไปตามหาคนที่ใช่มากกว่า ไปอยู่กับคนที่เขารัก สร้างวันเวลาดีๆให้กับชีวิตของตัวเอง แล้วเราล่ะ...จะไม่คิดถึงวันเวลาที่ยังเหลือของชีวิตเราบ้างหรือ...<br />เราบังคับใจใครไม่ได้ เหมือนกับที่เราไม่อาจบังคับใจตัวเอง เรายังรักเขาอยู่ อันนั้นก็พอเข้าใจ แต่เมื่อเขาไม่อยู่ให้เรารักแล้ว เรายังจะดื้อรั้น รักคนที่ไม่มีตัวตนอยู่ในชีวิตเราอีกแล้วอย่างนั้นหรือ...<br /><br />...มันไม่ผิด ที่เราจะเลือกรักใครคนหนึ่ง<br />แต่มันคงจะผิด ถ้าเราจะกักขังใจตัวเอง<br />ให้อยู่กับความทุกข์ ความเจ็บปวดไปตลอดกาล...<br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />วันเวลาที่ผ่านมา...มีค่าให้จำ ...แต่ไม่ควรทำให้เราเจ็บ...<br /><br />แม้เราอยากให้ทุกสิ่งทุกอย่างย้อนคืนกลับมา อยากเปลี่ยนคราบน้ำตาแห่งความอ้างว้าง เสียใจ ให้เป็นรอยยิ้มแห่งความสุข ความอบอุ่นใจอีกครั้ง แต่มันคงเป็นคงเป็นไปไม่ได้ ที่สิ่งเหล่านี้จะหวนคืนมาเป็นเช่นเดิม เพราะในวันนี้...คนคนนั้นในความทรงจำของเราไม่ใช่คนเดิม...<br />ในช่วงเวลาแห่งความรักที่อ่อนหวาน ระหว่างเราและเขา คงมีเรื่องราวดีๆมากมายให้จดจำ เขาเคยดีต่อเราแค่ไหน เราและเขาเคยทำเพื่อกันและกันมามากเท่าไหร่...<br />ทุกอย่างคือภาพความทรงจำที่ดี ที่เราอยากจะจดจำ อดไม่ได้ที่จะคิดถึง คร่ำครวญถึง แต่เทื่อคิดถึงภาพเหล่านั้นแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะเจ็บ...เคยถามตัวเองว่า...การเจ็บปวด มีน้ำตากับเรื่องที่มันผ่านไปแล้ว มันมีประโยชน์กับชีวิตเราอย่างไร…<br />จงอย่าเสียดายที่เราได้เสียเวลาร่วมสร้างสิ่งดีๆกับเขา และอย่าเสียใจที่เรืองราวเหล่านั้นต้องจบลงไป ทุกอย่างเกิดขึ้นตามวาระเวลาของมัน อะไรในโลกนี้ที่เคยดี วันหนึ่งก็ย่อมเปลี่ยนแปลงไปได้ เหมือนกับความรักของเราที่เคยหอมหวาน แต่วันนี้กลับจืดจางลงอย่างไม่น่าเชื่อ...<br /><br />...ถ้าอยากจะอยู่อย่างคนมีความทรงจำ<br />ก็จงจำอย่างมีความสุข<br />หากจำแล้วทุกข์ ทรมานใจ<br />ก็ลืมมันไปให้หมดสิ้นเสียดีกว่า...<br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />...ทำไมเราต้องเสียน้ำตา...<br /><br />...ถ้าน้ำตาทุกหยด กลับทำให้เรายิ่งอ่อนแอ<br />ยิ่งร้อง ยิ่งหมดเรี่ยวหมดแรง ยิ่งทุกข์ใจ<br />ก็จงหยุดร้องเสียเถอะ<br />เพราะว่าพรุ่งนี้ ยังมีอะไรที่เราต้องคิด ต้องทำ<br />หากเรายังร้องไห้ จมน้ำตาอยู่แบบนี้<br />จะมีแรงที่ไหน ไปดูแลชีวิตตัวเองได้...<br /><br />ในชีวิตนี้ มีไม่กี่ครั้งที่เราให้อะไรกับใครฟรีๆ หรือยอมเป็นฝ่ายสูญเสีย โดยไม่ได้อะไรคืนมา แต่ครั้งนี้ เรากำลังทำเช่นนั้นอยู่ เรากำลังเสียน้ำตาให้คนที่ไม่รัก ไม่ได้แคร์เรา เรากำลังร้องไห้ ปล่อยน้ำตาให้รินไหลออกมาอย่างไร้ค่า ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครแม้แต่จะมองเห็น<br />เขาอาจรับรู้ว่าเราเจ็บปวด แต่เขาก็ช่วยแบ่งเบาความเจ็บปวดของเราไม่ได้ อย่างดีที่สุด...เขาก็แค่ยืนมองเราร้องไห้ แล้วกระซิบบอกกับตัวเองว่า...อย่างไรก็ตาม กับคนคนนี้ เราก็ให้ได้เพียงแค่ความสงสาร แต่ไม่ใช่ความรัก ความห่วงใยอาทร เหมือนที่เคยมี...<br />...ทุกวินาทีที่ร้องไห้ เราได้อะไรนอกจากความเจ็บปวด<br />น้ำตาที่รินไหลลงมา จะมีค่าตรงไหน<br />ถ้าคนที่เราร้องไห้ ไม่ได้อยู่เคียงข้างเราตรงนี้...<br />ถ้าน้ำตาทุกหยดที่เรากลั่นออกจากสองตา ทำให้เราเข้มแข็งมากขึ้น ก็จงร้องไปเถอะ ร้องให้มากๆจะได้เข้มแข็งไวๆ<br /><br />...แม้เราจะร้องไห้ให้เขามากเท่าไหร่<br />ก็ไม่ได้อะไรกลับมา<br />เพราะบางอย่างก็ใช้น้ำตาแลกไม่ได้<br />เฉกเช่นความรัก...<br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />เจ็บจนตาย...ถ้าตัดไม่ขาด<br /><br />ความรักนี้ไม่ใช่เป็นเพียงแก้วร้าว<br />แต่มันเป็นเพียงแก้วที่แตกไปแล้ว<br />ทำอย่างไรก็ไม่มีทางประสานให้กลับคืนมาได้ใหม่<br />ถ้าเรายังคงยึดติดกับความรัก ความเสียดาย<br />สิ่งเดียวที่จะได้รับกลับมา<br />ก็คือความชอกช้ำใจอย่างไม่มีวันจบสิ้น<br /><br />เยื่อใยที่เรามีให้เขา...เป็นเหมือนเชือกหนาที่ผูกดึงเรา ไม่ให้เราหลุดพ้นไปจากขุมนรกที่เจ็บปวดขุมนี้ ถ้าเราไม่ตัดสินใจให้เด็ดขาด ไม่ยอมตัดเชือกเส้นนี้ออกไปให้พ้น เยื่อใยงี่เง่าจะผูกขังตัวเราอยู่อย่างนี้ ทำให้เราต้องเจ็บ ต้องทุกข์ทรมารตลอดไป<br />ในวันที่เราถูกทำร้ายให้เจ็บชอกช้ำ เราตัดสินใจแล้วที่จะเดินจากมาให้ไกลแสนไกล เราเลือกแล้วที่จะหันหลังให้ทุกอย่าง ไม่หันหลังกลับไปมองความรัก ความผูกพันเก่าๆ<br />ไม่มีเยื่อใยให้กับความทรงจำที่โหดร้ายอีก<br />แต่หัวใจเรา... ทำไมยังตัดเขาไม่ได้ เรายังรัก ยังจดจำ ยังคิดถึง ยังอยากจะรู้ว่าเขาอยู่ดีไหม อยู่กับใคร คิดถึงเราบ้างไหม คำถามแห่งความทุกข์ทรมารถาโถมเข้ามาในใจเราทุกวัน บางคำถามก็ไม่มีคำตอบ บางคำถามก็มีคำตอบ แต่เป็นคำตอบที่แสนจะเจ็บปวด...<br />...เขาไม่ได้รักเราแล้ว และไม่อยู่ตรงนี้แล้ว นั้นคือคำตอบเดียวที่แท้จริง...<br /><br />เมื่อคิดจะตัดเขาแล้ว ก็จงตัดให้ขาด<br />อย่าให้มันยังยื้อยั้ง คาราคาซังอยู่อย่างนี้<br />เมื่อใดที่หัวใจเราไม่มีภาพของเขาอีก เมื่อนั้นความทุกข์ทรมารก็จะสลายหายไป<br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br />เขามีสิทธิ์จะเป็นของใครก็ได้...เพราะเขาไม้ใช่ของเรา<br /><br />เราเจ็บปวดที่เห็นเขามีคนอื่น<br />เพราะเราคิดว่าคนอื่นคนนั้นโชคดีที่ได้เขาไป<br />แต่ความจริงแล้วเราต่างหากเป็นคนที่โชคดี<br />ที่ได้หลุดพ้นจากคนคนนี้<br />และคนใหม่คนนั้นต่างหากเป็นคนที่โชคร้าย<br />ที่กำลังจะได้รับความเจ็บปวดเสียใจ<br />อย่างที่เราเคยได้รับจากเขา<br /><br />เขาแค่เคยเป็นของเรามาก่อน แต่ตอนนี้เขาไม่ใช่ของเราแล้ว ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น และทำใจเสียดีกว่า คิดเสียว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะในโลกใบนี้ ก็ไม่มีอะไรที่จะเป็นของเราได้ตลอดไป<br />...ความรักได้จบลงไปแล้ว สิทธิ์การเป็นเจ้าของในตัวเขา วันนี้ได้หมดลงโดยสิ้นเชิง เราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปกำหนดชีวิตเขาได้อีก ไม่แม้แต่จะมีสิทธิ์ออกความคิดเห็น เขาจะไปรักใคร ชอบใคร นั้นก็เป็นสิทธิ์ของเขา เขามีอิสระเต็มที่นับตั้งแต่วันที่เรื่องราวระหว่างเขาและเราได้สิ้นสุดลง แม้หัวใจเราจะยังรักและซื่อสัตย์ต่อเขาอยู่ แต่นั้นไม่ได้หมายความว่า...ความรักที่มั้นคงจริงแท้ของเราจะไปเหนี่ยวรั้งเขาไว้ได้<br /><br />จะไปสนใจเรื่องราวของเขาทำไมให้เจ็บปวด<br />ในวันที่เราเฝ้าติดตามมองเขา เขากลับมองเราเป็นคนที่ไร้ค่า<br />ความรักที่ยังหลงเหลือในใจเรา เป็นสิ่งที่เขาไม่ต้องการ<br />ยิ่งเราไปติดตามเขา สนใจเขา พยายามจะรับรู้รับฟังเรื่องราวของเขา<br />เราก็ยิ่งเป็นคนที่ไมมีค่า น่ารำคาญ<br /><br />...ฐานะของคนที่จบความสัมพันธ์กันไปแล้ว เราไม่มีสิทธิ์อะไรที่จะไปหึงหวงเขาอีก...<br /><br />ยังมีอีกหลายคน<br />ที่พร้อมจะยกหัวใจให้เป็นของเรา<br />ปล่อยเขาไปเถอะ<br />แค่คนไม่มีหัวใจแค่คนเดียว<br /><br /><br />ถ้าเราไม่ใช่หนึ่งเดียวในใจ...ก็ไม่มีความหมาย<br /><br /><br />หัวใจหนึ่งดวง ไม่สามารถแบ่งให้ใครได้หลายคน<br />ถ้าเขาคิดแบ่งหัวใจให้คนมากกว่าหนึ่งคน<br />หัวใจของเขา ก็ไม่ใช่หัวใจที่แท้จริง...<br /><br />...จากที่เขาเคยรักเรา มีเราคนเดียวตลอดมา วันนี้เขาไปรักคนอื่น มีคนอื่น นั้นก็บ่งบอกแล้วว่า...เราไม่อากเป็นเจ้าของหัวใจเขาอีกต่อไป...แต่รู้ทั้งรู้อย่างนั้น เราก็ยังร้องขอให้เขามาเหลียวแล แบ่งเอาเศษเสี้ยวของหัวใจที่เขาให้คนอื่นไปแล้ว กลับมาให้เราอีกครั้งหนึ่ง เพราะเราคิดว่า...การได้กอดเก็บเศษจุณหัวใจของเขา มันก็ยังดีกว่าเราต้องไม่เหลืออะไรเลย<br /><br />ไม่จำเป็นต้องมีศักดิ์ศรี ขอแค่ได้มีเศษเสี้ยวความสำคัญ ไม่จำเป็นต้องมีเขาทั้งคน คี่มีครึ่งหนึ่งของความเป็นเขาก็พอแล้ว เรายอมที่จะเป็นคนที่ไร้ความหมาย ไร้ค่าที่สุด เพื่อที่จะได้เห็นว่า...เขายังวนเวียนอยู่ในชีวิต แม้ไม่ได้อยู่เพื่อสร้างความสุขให้กับเรา แค่อยู่เพื่อสร้างความทุกข์ให้กับเราก็ยังดี เคยถามตัวเองไหมว่า...สิ่งที่เรากำลังทำอยู่ เราทำเพื่ออะไร.....<br /><br />ตัวเรา หัวใจเรา และความรักของเรา<br />ยังมีค่าพอสำหรับคนอื่นอีกมากมายในโลกนี้<br />ไม่จำเป็นเลย<br />ที่เราต้องเอามันไปแลกกับเศษหัวใจไร้ค่าเอามันคืนมาดีกว่า แล้วเก็บรักษาไว้รอคนที่คู่ควร...</span>ประภัสสรา แคนติhttp://www.blogger.com/profile/14755432838640685043noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6877657788851898972.post-28674722865755013722010-03-08T19:24:00.000-08:002010-03-08T19:25:43.800-08:00เกมส์เด็กเอ๋ยเด็กดี4.3_19<a href="http://www.4shared.com/file/237270427/e588931d/prapass.html" target="_blank"><img src="http://dc199.4shared.com/img/237270427/e588931d/prapass.jpg?rnd=0.7543021859922576" border="0" /></a>ประภัสสรา แคนติhttp://www.blogger.com/profile/14755432838640685043noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6877657788851898972.post-88427201187004339952010-03-08T00:00:00.000-08:002010-03-08T22:27:37.963-08:00เกมส์เด็กเอ๋ยเด็กดี4.3_19<a href="http://www.4shared.com/file/236668088/4de38627/43_19.html">ดาวน์โหลด</a>ประภัสสรา แคนติhttp://www.blogger.com/profile/14755432838640685043noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6877657788851898972.post-78865674334341147902010-03-07T23:06:00.000-08:002010-03-07T23:07:00.043-08:00<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiYn73PeyZoJOU2yFhZEIa3Eiwj5AVDV8cgBOZ072LchILQX1ZstyXqvJ2NkEDJt8tBE2bc2V_nnihuPmJlRRWHquJd3-oDUsBkaiZk62DtJ8u0GbOuXSO_Fe2bfcjwGjGxh0zoywTU7vg/s1600-h/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B2.jpg"><img style="margin: 0px auto 10px; display: block; text-align: center; cursor: pointer; width: 320px; height: 240px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiYn73PeyZoJOU2yFhZEIa3Eiwj5AVDV8cgBOZ072LchILQX1ZstyXqvJ2NkEDJt8tBE2bc2V_nnihuPmJlRRWHquJd3-oDUsBkaiZk62DtJ8u0GbOuXSO_Fe2bfcjwGjGxh0zoywTU7vg/s320/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B2.jpg" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5446155996254994306" border="0" /></a>ประภัสสรา แคนติhttp://www.blogger.com/profile/14755432838640685043noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6877657788851898972.post-30792778057738493262010-03-07T23:04:00.000-08:002010-03-07T23:06:05.049-08:00<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEis5hbD8aX00dH4tmSa1kabolQXJB2elQc0APRT8Hgxp8h7eZWQTDeCJupM-FX_zSAQsgMFj2BlyUX1gnlrmEo6sjlXjU9IHn_rp2emPuwBq3LXD6yyyyGRA7YrXbN7BAUu3eC8L1Ct-N0/s1600-h/ket++4.3+copy.jpg"><img style="margin: 0px auto 10px; display: block; text-align: center; cursor: pointer; width: 214px; height: 320px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEis5hbD8aX00dH4tmSa1kabolQXJB2elQc0APRT8Hgxp8h7eZWQTDeCJupM-FX_zSAQsgMFj2BlyUX1gnlrmEo6sjlXjU9IHn_rp2emPuwBq3LXD6yyyyGRA7YrXbN7BAUu3eC8L1Ct-N0/s320/ket++4.3+copy.jpg" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5446155728854210850" border="0" /></a>ประภัสสรา แคนติhttp://www.blogger.com/profile/14755432838640685043noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6877657788851898972.post-73820329722736880842010-03-04T20:48:00.000-08:002010-03-04T20:52:41.825-08:00ความหลง<div align="center"><span style="font-size:180%;color:#33cc00;">ความหลง</span></div><span style="font-size:180%;color:#33cc00;"></span><br /><span style="color:#993399;"><span style="font-size:180%;"><span style="color:#33cc00;">ความรักที่มากเกินความพอดี โดยไม่สนใจความถูกผิด ไม่เปิดใจรับเหตุผลต่างๆ พัฒนาการของความรัก ความพึงพอใจในจุดจุดหนึ่งของอีกฝ่าย เมื่อคบหาแล้วก็เริ่มที่จะพิจารณาและเห็นจุดยืนของความต้องการในตัวตนของตัวเองจนเกิดเป็นความชอบในองค์ประกอบของเค้า โดยมีเรื่องของเวลานำพาและสร้างความผูกพันความคิดถึง ห่วงหาจนเกิดเป็นความรัก ที่มีความสุข หากหมดรักเมื่อไหร่ ก็ไม่มีความสุขและเมื่อรักมากๆ มากจนเกินความพอดี โดยไม่คำนึงถึงความถูกผิด ไม่เปิดใจรับความจริงในเหตุผลต่างๆ นั่นแหละคือ " ความหลง "แต่บางครั้งก็ตอบไม่ได้เลยว่า มันคืออะไร มันอาจจะสับสนบ้างกับความรัก เพราะเราอาจจะตอบไม่ได้เลยว่าเราชอบหรือรักเค้าที่ตรงไหน ชอบหรือรักเค้าที่อะไร เมื่อไหร่ อย่างไร จะมีก็แต่คำว่า " ความรักไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลหรือทฤษฏี รักก็คือรักห้วนๆ หากรู้ตัวรู้ว่านี่คืออะไรเค้าจะเรียกว่าความรักหรือ!! " หรือว่าความรักคือความไม่รู้กันแน่นี่ หรือความไม่มีเหตุผลกันแน่ !!<br /><br />แล้วคุณหล่ะ เมื่อมีความรักแล้วรู้ตัวอยู่หรือเปล่าว่านี่คือความรักหรือความหลง รู้ตัวหรือเปล่าว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่ รู้ตัวอยู่หรือเปล่าว่าคุณมีความรักได้อย่างไร? เมื่อไหร่?<br /><br />แล้วความรักมันจะมาหาคุณเอง เมื่อวันใด เมื่อไหร่ที่คุณมีความกังวนใจ ว้าวุ่น ครุ่นคิดถึงใครสักคน สับสน แล้วเฝ้าถามตัวเองว่าเราเป็นอะไรไปเนี่ย นั่นแหล่ะความรักมันได้เริ่มคืบคลานเข้ามาหาคุณอย่างช้าๆ<br /><br />"ความรักมักเล่นแง่กับเรา เมื่อเรามีความรักมันกลับวิ่งหนี เมื่อเราอยู่เฉยๆ มันกลับมาหาเราทั้งๆ ที่เราไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ " แต่นั่นก็เป็นความรักที่เกิดจากโชคหรือดวง แต่หากวันใดโชคหรือดวงที่ว่านี้มันเลิกเล่นแง่กับเรา เราก็อย่าได้เล่นแง่กับคนที่เรารักกับความรัก กับตัวเองเลย เมื่อเกิดการผิดใจกัน ลองคิดดูสิว่ากว่าเราจะได้รับมันมากว่าเราจะพบต้องใช้อะไรไปบ้าง? ความจริงใจ เวลา ความหนักแน่ ความมั่นคง ความเชื่อใจ ความไว้วางใจ แล้วจะให้ความคิดเพียงชั่ววูบมาทำลายสิ่งดีๆ ที่ผ่านมามันไม่คุมเอาเสียเลย<br /><br />" หากคิดที่จะรัก ใยต้องคิดถึงความผิดหวัง?<br /><br />หากคิดที่จะรัก ใยคิดถึงผลที่ขมขื่นของมัน?<br /><br /><br /><br />หากไม่รู้จักรัก จะรู้จักความสุขหรือ?<br /><br />หากคิดแต่เรื่องความทุกข์ แล้วจะสุขได้อย่างไร?<br /><br />และหากมีใจ ใยต้องสร้างกำแพงขวางกัน? หรือต้องการที่จะพิสูจน์อนุภาพของมัน...... "<br /><br />เรื่องของความรัก -------> ไม่มีคำว่ายุติธรรม หรือ คำว่าเสมอภาค<br /><br />เรื่องของความรัก -------> ไม่มีคำว่าบังเอิญ มีแต่คำว่าตั้งใจ<br /><br />เรื่องของความรัก -------> ไม่มีคำว่าฝืนทน มีแต่คำว่าเข้าใจ<br /><br />เรื่องของความรัก -------> ไม่มีคำว่าเสียสละให้ใคร มีแต่คำว่ารัก เข้าอกเข้าใจ รู้ใจ เห็นใจ และร่วมฝ่าฟันไปด้วยกันก็พอ</span><br /></span></span>ประภัสสรา แคนติhttp://www.blogger.com/profile/14755432838640685043noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6877657788851898972.post-53319894262398288442010-03-04T20:42:00.000-08:002010-03-04T20:48:04.618-08:00ความรัก<div align="center"><span style="font-family:times new roman;font-size:130%;color:#ff99ff;">ความรัก<br /><br />ในเชิงอุดมคติคือ " ความชอบ ความพึงพอใจ ความจริงใจ ความปรารถนาดี ความหวังดี ความบริสุทธิ์ใจ โดยไม่ต้องการสิ่งตอบแทน ความหลงไหล ความผูกพัน ความห่วงหา ความอาทร ความเข้าใจ ความห่วงใย ความใส่ใจ ความคิดถึง ความอบอุ่น ความนุ่มนวล ความอ่อนโยน ความอ่อนแอ ความอ่อนไหว ความสุข ความเสียสละ<br /><br />" ความรักในเชิงทิฐิคือ " ความหึงหวง ความเสียใจ ความผิดหวัง ความเจ็บปวด ความชิงชัง ความเกลียดชัง ความก้าวร้าว ความรุนแรง ความโกรธแค้น ความเห็นแก่ตัว<br /><br />" ความรักเชิงจินตนาการคือ " การเอาตัวเองเข้าไปพิสูจน์อย่างไม่มีวันที่สิ้นสุด<br /><br />" ความรักในเชิงภาษาคือ " คำที่มี 2 พยัญชนะ เริ่มจาก ร เรือ และ ก ไก่<br /><br />ร เรือ คือ การเรียนรู้<br />ก ไก่ คือ กาลเวลา<br /><br />นั่นจึงมีหมายความว่า ความรักคือ การเรียนรู้ซึ่งกันและกันของคน 2 คน ที่มาอยู่ร่วมกัน ปรับตัวเข้าหากัน โดยมีเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์และประสานคนทั้ง 2 คน ให้เกิดความใกล้ชิดกันและเกิดเป็นความผูกพัน จนทำให้เกิดเป็นความเข้าใจ และเกิดเป็นสุขตามมา นั่นแหล่ะ " ความรัก "เหตุผล ปัจจัย ความเป็นไป ที่มาและพัฒนาการของความรักมีดังนี้<br /><br />1.ความพึงพอใจ<br />2.ความชอบ<br />3.ความใกล้ชิด<br />4.ความผูกพัน<br />5.ความเข้าใจ<br /></span></div>ประภัสสรา แคนติhttp://www.blogger.com/profile/14755432838640685043noreply@blogger.com0